บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เริ่มต้นเล่นหุ้นยังไง ตอนที่ 3

หุ้น คืออะไร?

    หุ้น หรืออารเรียกเต็มว่า "หุ้นสามัญ" เป็นตราสารชนิดหนึ่งที่แสดงความเป็นเจ้าของบริษัท โดยเมื่อมีการก่อตั้งบริษทใหม่ขึ้น ผู้ก่อตั้งจะระดมทุนด้วยการแบ่งส่วนของเจ้าของออกเป็นหน่วยย่อยๆ และนำส่วนที่เรียกว่า"หุ้น"ออกจำหน่าย เมื่อกิจการดำเนินงานและเกิดมีกำไรขึ้น กำไรบางส่วนก็จะถูกจัดสรรและจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นในรูปของ"เงินปันผล"กำไรที่ไม่ได้ถูกจัดสรรก็จะถูกเก็บไว้ในรูปของกำไรสะสม โดยอาจจะนำไปใช้ต่อเพื่อลงทุนหรือขยายกิจการก็ได้จากบริษัทที่มีการจัดสรรหุ้นแก่บุคคลในครอบครัวก็ขยายเป็นสู่บริษัทที่ใหญ่ขึ้นเป็นบริษัทมหาชนและเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในที่สุด จากหุ้นธรรมดาๆเมื่อมีการเสนอขายก็จะถูกเรียกว่า "หุ้นไอ พี โอ" คือ หุ้นที่มีการจำหน่ายออกใหม่ให้แก่ประชาชนในวงกว้างเป็นครั้งแรกพร้อมกันนั้นบริษัทก็จะขออนุมัตินำบริษัทและหุ้นเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อให้ประชาชนผู้ถือหุ้นสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือการถือหุ้นได้ โดยมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนมือ

สิทธิของผู้ถือหุ้นสามัญหุ้นสามัญ เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน ซึ่งออกโดยบริษัทที่มีความต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน เพื่อให้ผู้ลงทุนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจนั้นโดยตรง ซึ่งผู้ที่ลงทุนในหุ้นสามัญจะได้รับสิทธิต่างๆ และผลตอบแทนจากการลงทุน
  • สิทธิในการบริหารจัดการงานของบริษัทผ่านการลงคะแนนเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เช่น การเลือกตั้งกรรมการบริหาร การเพิ่มทุน การจ่ายเงินปันผล การครอบงำกิจการ เป็นต้น
  • สิทธิในการได้รับผลตอบแทนจากกำไรของบริษัท เมื่อบริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน และต้องการการกระจายกำไรนั้นไปสู่ผู้ถือหุ้น บริษัทจะประกาศจ่ายผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนในรูปของเงินปันผล
  • ในกรณีที่บริษัทมีการเพิ่มทุนจดทะเบียน ผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับสิทธิในการจองซื้อหุ้นใหม่ก่อนผู้ถือหุ้นรายอื่น เพื่อให้สัดส่วนในการถือครองหุ้นของตนเท่าเดิม และเป็นการปกป้องสิทธิของตน
    ทั้งในเรื่องการออกเสียง และการได้รับผลตอบแทน
  • ในกรณีที่กิจการล้มละลาย ผู้ถือหุ้นยังมีสิทธิจะได้รับส่วนแบ่งที่เหลือของกิจการภายหลังการจ่ายภาระผูกพันแก่เจ้าหนี้รายอื่นๆ

ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นสามัญ ประกอบด้วย 2 รูปแบบ คือ

  • ผลตอบแทนในรูปเงินปันผล เป็นผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นจะได้โดยตรงในกรณีที่บริษัทมีกำไร ซึ่งผลตอบแทนประเภทนี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัทในการทำกำไร กล่าวคือ ในปีใดที่บริษัทมีกำไรมาก ผู้ถือหุ้นอาจจะได้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลมากขึ้น แต่ในปีใดที่บริษัทมีกำไรน้อยหรือขาดทุน ผู้ถือหุ้นอาจจะได้เงินปันผลน้อยลงหรือไม่ได้เลยก็ได้
***ตัวอย่างเช่น บริษัท ABC มีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราคงที่ คือ 30% จาก
      กำไรสุทธิ โดยบริษัท ABC มีผู้ถือหุ้นจำนวน 10 ล้านหุ้น

http://www.tsi-thailand.org/

***Question:
          นักลงทุน ข. ตัดสินใจลงทุนในหุ้นสามัญบริษัท XYZ ณ วันที่ 30 เมษายน 2549 จำนวน 1,000 หุ้น ซึ่งราคาตลาดในวันนั้นเท่ากับ 18 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 30 เมษายน 2550 นักลงทุน ข. ถือหุ้น XYZ ครบ 1 ปีพอดี และต้องการจะขายหุ้นดังกล่าวออกไป ซึ่งราคาตลาด ณ วันนี้เท่ากับ 20 บาทต่อหุ้น ระหว่างนักลงทุน ข. ถือหุ้น XYZ ได้รับเงินปันผล 1 ครั้งจำนวน 1.25 บาทต่อหุ้น อยากทราบว่าผลตอบแทนโดยรวมจากการลงทุนในหลักทรัพย์ XYZ เป็นเท่าไร(สมมติไม่มีค่าคอมมิชชั่น และภาษี)

http://www.tsi-thailand.org/

  • ผลตอบแทนในรูปส่วนต่างราคา เป็นผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นจะได้ ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นขายหุ้นสามัญดังกล่าวไปยังบุคคลอื่นในราคาที่สูงกว่าตอนที่ตนซื้อมา
  
***ตัวอย่างเช่น นักลงทุน ก. ซื้อหุ้นบริษัท ABC มาในราคา 10 บาท จำนวน 1,000 หุ้น หลังจากถือหุ้นดังกล่าวผ่านไป 1 เดือน ราคาตลาดของหุ้นบริษัท ABC ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 11.50 บาท นักลงทุน ก. จึงตัดสินใจขายหุ้นดังกล่าวออกไปทั้งหมด 1,000 หุ้น ทำให้นักลงทุน ก. ได้กำไร 1.50 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 1,500 บาท แต่อย่างไรก็ตาม ราคาตลาดของหุ้นบริษัท ABC อาจไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์ดังกล่าวก็ได้ ในกรณีที่ราคาตลาดปรับตัวลดลง นักลงทุน ก. ก็มีโอกาสขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นบริษัท ABC ได้

http://www.tsi-thailand.org/

 ความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นสามัญ
      การลงทุนใดๆ ก็ตามย่อมมีความเสี่ยง การลงทุนในหุ้นสามัญก็เช่นเดียวกัน ในหัวข้อก่อนหน้าได้กล่าวถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นสามัญ นักลงทุนคงรับรู้ถึงความเสี่ยงอย่างหนึ่งที่เกิดจากการลงทุนแล้วนั่นก็คือความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตนคาดการณ์ไว้ ในหัวข้อนี้จะสรุปสาเหตุสำคัญ 2 ประการ ที่ส่งผลให้นักลงทุนไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดการณ์ไว้ (ทั้งผลตอบแทนในรูปเงินปันผล หรือในรูปส่วนต่างราคา) 
             1. ความเสี่ยงทางธุรกิจ เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากลักษณะของธุรกิจนั้นๆ เช่น ประเภทธุรกิจ โครงสร้างรายได้ ค่าใช้จ่ายของกิจการ ทั้งนี้ความเสี่ยงทางธุรกิจเกิดขึ้นจากการที่บริษัทตัดสินใจการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร กล่าวคือถ้ากิจการใดมีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรจำนวนมาก ผลที่ตามมาคือจะทำให้กิจการนั้นมีรายการค่าเสื่อมราคา ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายคงที่จำนวนมากในทางตรงกันข้าม หากกิจการมีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรน้อย รายการค่าเสื่อมราคาซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ก็จะน้อยตามไปด้วย ซึ่งการที่กิจการมีต้นทุนคงที่จำนวนมาก เมื่อยอดขายไม่เป็นไปตามที่คาด แต่ภาระค่าใช้จ่ายยังคงที่เท่าเดิม ก็จะทำให้กำไรของกิจการติดลบอย่างมากในปีที่ยอดขายลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดว่าจะได้รับจากการลงทุนลดลงไปด้วย
             2. ความเสี่ยงทางการเงิน เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการที่กิจการสร้างภาระผูกพันทางการเงินไว้ เช่น การก่อหนี้ถ้ากิจการใดมีการก่อหนี้จำนวนมาก กิจการนั้นก็จะมีภาระการจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายคงที่จำนวนมาก หากกิจการไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้าที่วางไว้ กำไรของกิจการก็จะไม่เพียงพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยได้ เมื่อกิจการไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยตามภาระผูกพันได้ ก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงที่อาจจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้

ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน

         อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรตระหนักไว้เสมอว่าการลงทุนใดๆ ย่อมมีความเสี่ยง และโดยปกติแล้วการลงทุนใดที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนมักขอส่วนชดเชยความเสี่ยงที่สูงขึ้น นั่นก็คือคาดหวังผลตอบแทนที่ต้องการสูงขึ้นนั่นเอง และการลงทุนใดที่มีความเสี่ยงต่ำย่อมคาดหวังผลตอบแทนทึ่ต้องการต่ำด้วยเช่นเดียวกัน

***ตัวอย่างเช่น หากนาย ก. มีทางเลือกในการลงทุน 2 ทางเลือก คือ การฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์ที่มั่นคงแห่งหนึ่ง กับให้ ข. ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกู้ยืม ซึ่งในกรณีนี้ หาก ก. ยอมให้ ข. กู้ยืมเงิน ก. ย่อมต้องการผลตอบแทนจากการให้ ข. กู้ยืมมากกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคารแน่นอน เนื่องจากโอกาสที่ ก. จะไม่ได้รับเงินต้น และดอกเบี้ยจากการฝากเงินไว้กับธนาคารมีน้อยมาก ในขณะที่การให้ ข. กู้ยืม ก. จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการที่ ข. ไม่ชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ยมากกว่า ดังนั้น หาก ก. ยอมให้ ข. กู้ยืมเงิน ก. ย่อมคิดดอกเบี้ยที่สูงกว่าการที่ตนฝากเงินไว้กับธนาคารแน่นอน ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นก็คือส่วนชดเชยความเสี่ยงที่ ก. เรียกร้องเพิ่มขึ้นจากความเสี่ยงที่ให้ ข. กู้ยืมนั่นเอง การลงทุนในหุ้นสามัญก็เช่นเดียวกัน เมื่อนักลงทุนเห็นว่าการลงทุนรูปแบบนี้มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดมากกว่าการลงทุนรูปแบบอื่นๆนักลงทุนย่อมเรียกร้องผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้น เป็นไปตามหลักการของ "High Risk High Expected Return" นั่นเอง


ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ
บทความโดย : The Stock Exchange of Thailand


ทำไมต้องหุ้น?

สำหรับผู้ที่มีเงินออมและประสงค์จะบริหารเงินออมของตนให้เกิดประโยชน์นั้น นอกเหนือจากการฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินต่างๆเพื่อรับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ยังมีทางเลือกอื่นๆสำหรับการบริหารเงินออมและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกหลายวิธี
       
        การลงทุนในตลาดหุ้นก็นับเป็นทางเลือกหนึ่งของการลงทุนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้มีเงินออมมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ในอัตราที่สูงกว่าและหลากหลายรูปแบบกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการฝากเงินในธนาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถาณการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดต่ำลงอย่างมากอย่างในปัจจุบัน จึงไม่เป็นสิ่งจูงใจในต่อการฝากเงิน

       สำหรับผู้ที่มีเงินออมเหลืออยู่แล้วนั้น จะถือเงินไว้เฉยๆ โดยไม่บริหารการเงินการลงทุนอะไรเลยก็คงจะไม่เหมาะนัก ดังนั้นจึงควรพิจารณาหาช่องทางการลงทุนอื่นๆ เพื่อเพิ่มพูนผลตอบแทนจากเงินออมของตนจะดีกว่า

       ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้น จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีเงินออม โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการความหลากหลายในการลงทุน ทั้งประเภทของสินค้าที่จะลงทุน ผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะในตลาดหุ้น มีสินค้าหรือตราสารการลงทุนหลายประเภท ซึ่งออกโดย บริษัทที่ประกอบธุรกิจในหลายประเภทอุตสาหกรรม สำหรับให้เลือกลงทุนได้ตามความต้องการ ทั้งนี้ การเข้ามาลงทุน และถือหุ้นในกิจกิจการใดๆก็ตามในตลาดหลักทรัพย์ จะเกิดผลประโยชน์หลายประการ ทั้งต่อตนเอง และต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม เพราะเราจะได้มีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการต่างๆที่มีศักยภาพ หรือธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุนในรูปแบบต่างๆ เช่น ได้รับเงินปันผล สิทธิในการจองซื้อหุ้นออกใหม่ หรือ กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นต้น นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นยังถือได้ว่ามีบทบาทในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงตามมาด้วยเสมอ ดังนั้นผู้ลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอย่างละเอียดจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และสามารถได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับที่น่าพึงพอใจตามที่คาดหวังได้

ออมด้วยหุ้น

The best way to own common stocks is through index funds... Additionally, those index funds that are very low-cost (are investor-friendly by definition and are the best selection for most of those who wish to own equities” - Warren Buffett -
        การที่มีหลายคนประสบความสำเร็จจากการลงทุนเป็นตัวอย่างให้หลายคนอยากประสบความสำเร็จตามบ้าง โดยมักมีความคิดที่ว่าการลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องง่าย แค่ซื้อถูกและขายให้แพงกว่าเท่านั้นก็จะได้ผลตอบแทนที่เป็นกอบเป็นกำแล้ว ถึงกับชวนเพื่อนชวนญาติชวนคนรู้จักให้มาลงทุน โดยคิดว่าน่าจะทำกำไรได้ง่ายๆ

       แนวคิดนี้ชวนทุกคนมา รวยด้วยหุ้น” นี้ก็คล้ายๆ กับการขายฝัน สอนให้คนหวังรวยทางลัดเหมือนอีเมล์ สแปม (spam) ที่ส่งมาบอกว่าทำงานที่บ้านก็ได้เดือนละแสนแล้วอย่างไรอย่างนั้น เพราะจริงๆ แล้ว คนที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนในหุ้นนั้นมีน้อย คนที่จะสามารถรวยด้วยหุ้นนั้นก็ไม่ต่างจากการประสบความสำเร็จในอาชีพอื่น ๆ ทั่วไป คือเป็นคนที่ยินดีอุทิศเวลาทุ่มเทให้ตลาดทุนเท่านั้น

      Livermore พูดถูกที่บอกว่า หุ้น คืออาชีพอย่างหนึ่ง คนที่จะประสบความสำเร็จก็คือคนที่จริงจังกับมันเหมือนอาชีพอื่นๆ ตลาดหุ้นสอนให้เรารู้เราภาวะเศรษฐกิจแย่ไม่เคยทำร้ายนักลงทุน เพราะบ่อยครั้งในภาวะเศรษฐกิจดี นักลงทุนก็ยังขาดทุน

       มีแต่นักลงทุนนั้นแหละที่มักทำร้ายตัวการซื้อๆ ขายๆ เก็งกำไรไปวันๆ อยากรวยแบบง่ายๆ บางคนใช้วิธีเลือกหุ้นตามกูรูตามนักวิเคราะห์ บางทีวิธีการของกูรูเหล่านั้นถึงรู้ไปก็ทำตามแบบอย่างไม่ได้ เพราะเราไม่มีบางสิ่งบางอย่างที่เขามี จริงๆ แล้วการลงทุนที่ถูกต้องหากเราไม่มีเวลา ไม่สามารถทุ่มเทให้กับมันได้เต็มที่ อยากแนะนำให้เปลี่ยนแนวคิดมาเป็น“ออมด้วยหุ้น”มากกว่าแนวคิด“รวยด้วยหุ้น”โดยมองว่าหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีและเราต้องทยอยออมมันไปเรื่อยๆ

      ถ้าย้อนประวัติศาสตร์ดูเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์มีการปรับตัวอย่างรุนแรงนั้น นักลงทุนมักจะมีปัญหาในการจัดการความเสี่ยงเวลาปรับตัวลง บางคนถึงกับกลัวจนไม่กล้าที่จะลงทุน หรือพอบางทีเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านไปก็จะพบว่า ความกังวลของนักลงทุนหลายครั้งก็เกินกว่าเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น แต่ส่วนที่เลวร้ายจริงๆนั้น ส่วนใหญ่จะโผล่มาแบบไม่เคยมีใครคาดการณ์ไว้ก่อน เช่น เหตุการณ์สินามิ หรือแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ 

      แนวทางในการลงทุนที่ถูกต้องนั้นสำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยง และหลีกเลี่ยงการที่จะต้องลงทุนแบบซื้อๆ ขายๆ คำแนะนำของ Peter Lynch ที่เป็นอดีตผู้จัดการกองทุนขนาดใหญ่ที่สุดของอเมริกา บอกให้ทุกคนกระจายความเสี่ยงโดยที่ให้ทุกคนเลือกหุ้นตัวที่ดีที่สุดด้วยตัวเองประมาณ 5 ตัว อย่าถือกระจายมากกว่านี้ แล้วถือไว้ในนานๆ  คำแนะนำนี้เป็นข้อคิดที่ดีมาก เนื่องจากในความเป็นจริงนั้น การคาดการณ์อนาคตเป็นเรื่องยาก การซื้อไว้สักห้าตัวแล้วถือไว้เฉยๆ บางทีกลับจะได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อและไม่เหนื่อยมากด้วย ในห้าตัวนี้ก็มักจะมีตัวนึงวิ่งให้ดีใจได้ทุกปี  และถ้าเลือกหุ้นได้ดีมาก ผลตอบแทนตัวที่ดีจะดึงค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนรวมให้สูงขึ้นไปด้วย โดยที่ไม่ต้องรู้อะไรก่อนคนอื่นเลย ถ้าเราคิดว่าเราไม่มีความสามารถเหมือนเซียนหุ้น การลงทุนตามคำสอนของ Peter Lynch ก็เป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับคนทั่ว ๆ ไป 

     
       Peter Lynch ไม่ได้บอกว่าห้ามขาย แต่การบอกว่าให้ถือให้ได้นานๆ นี้มีความหมาย เพราะถ้าคนเราตั้งใจเสมอว่าจะถือให้นานๆ เราจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดจากการขายเร็วเกินไปได้หลายครั้งเลยทีเดียว เป็นการสกัดจุดอ่อนของนักลงทุนรายย่อยทั่วไป หรือการเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีมืออาชีพคอยกระจายความเสี่ยงให้อยู่แล้ว เหลือแต่หน้าที่ทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมออันเป็นการตัดอารมณ์ความรู้สึกออกไป ก็เป็นแนวทางที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง และไม่ต้องมาเหนื่อยกับการซื้อ ๆ ขาย ๆ อีกด้วย

วันที่ 17 กรกฎาคม 2555
โดย : วิศวกร ปันยารชุน 
ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาการเงินส่วนบุคคล  ธนาคารกสิกรไทย
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
  • ดัชนีราคาหุ้น เป็นเครื่องมือบ่งชี้ระดับราคา และแนวโน้มของตลาดหุ้นโดยรวม โดยดัชนีราคาหุ้นในประเทศไทยที่นิยมใช้ คือ “ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” หรือ ที่เรารู้จักกันว่า “SET Index”โดย SET Index เป็นการคำนวณระดับราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเฉลี่ย ณ วัน หรือเวลาใดเวลาหนึ่งเทียบกับวันฐาน คือวันที่ 30 เมษายน 2518 (เป็นวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเริ่มเปิดดำเนินการซื้อขาย)
  • วิธีการคำนวณ SET Index SET Index คำนวณจากราคาหุ้นสามัญทุกตัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และถ่วงน้ำหนักด้วยจำนวนหุ้นที่จดทะเบียน ซึ่งมีสูตรที่ใช้ในการคำนวณเบื้องต้นที่ผู้ลงทุนควรทราบคือ โดยวิธีการคำนวณมูลค่าตลาดรวมของทุกหลักทรัพย์ (Market Capitalization) เราสามารถคำนวณได้โดย นำราคาหลักทรัพย์แต่ละตัว คูณด้วยจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเราจะทำเช่นนี้กับหุ้นทุกตัวในตลาดและนำค่าที่ได้มาบวกรวมกัน
http://www.tsi-thailand.org/
  ตัวอย่างการคำนวณ SET Index
http://www.tsi-thailand.org/
  • SET50 Index และ SET100 Index
       นอกจาก SET Index ซึ่งคำนวณจากราคาหุ้นสามัญทั้งตลาดแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังจัดทำ SET50 Index เพื่อแสดงระดับและความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสามัญจำนวน 50 บริษัท และ SET100 Index เพื่อแสดงระดับ และความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นสามัญจำนวน 100 บริษัท โดยหุ้นที่นำมาคำนวณใน SET50 Index และ SET100 Index จะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูง มีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง และมีปริมาณหุ้นหมุนเวียนที่ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถเข้าลงทุนได้
http://www.tsi-thailand.org/
  •  ประโยชน์ของ SET Index, SET50 Index และ SET100 Index
          Index ในตลาดหลักทรัพย์ก็คือดัชนีราคาประเภทหนึ่ง ซึ่งประโยชน์ก็จะเหมือนกับดัชนีอื่นๆ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค ที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงในราคาสินค้า ในกรณีของดัชนีราคาหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น SET Index, SET50 Index หรือ SET100 Index การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของค่าดัชนี ก็จะบอกถึงการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนีนั้นๆ นักลงทุนจึงสามารถใช้ Index เหล่านี้ในการวัดผลตอบแทน และความเสี่ยงจากการลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณ Index นั้นได้ รวมถึงถ้าสนใจลงทุนในบริษัทขนาดกลางก็สามารถเข้าดูรายชื่อของบริษัทใน SET100 เพื่อเป็นทางเลือกในการเข้าลงทุนได้

http://www.tsi-thailand.org/
  • ดัชนีราคากลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจ
       นอกจากดัชนี SET Index ที่คำนวณจากหุ้นสามัญทั้งหมดบนกระดานหลัก ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีการคำนวณดัชนีราคาหุ้น โดยแบ่งตามการจัดกลุ่มอุตสาหกรรมและหมวดธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน เพื่อช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในรายละเอียดมากขึ้น ดังนี้
  • ดัชนีราคารายกลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group Index)
       เป็นดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่ใช้สะท้อนการเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยมีหลักการคำนวณเช่นเดียวกันกับการคำนวณดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวคือใช้การคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weight) โดยมีวันที่ 31 ธันวาคม 2546 เป็นวันฐาน คำนวณโดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนทุกตัวในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม โดยไม่นำหลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP เกิน 1 ปีมารวมในการคำนวณ ทั้งนี้จะมีการปรับฐานการคำนวณดัชนีเช่นเดียวกันกับดัชนีราคา SET Index รวมทั้งเมื่อมีหลักทรัพย์ย้ายกลุ่มอุตสาหกรรม
  • ดัชนีราคารายหมวดธุรกิจ (Sectoral Index)
       เป็นดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่ใช้สะท้อนการเคลื่อนไหวของหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐาน (Fundamental) เดียวกัน โดยมีหลักการคำนวณเช่นเดียวกันกับการคำนวณดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวคือใช้การคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weight) คำนวณโดยใช้หุ้นสามัญจดทะเบียนทุกตัวในแต่ละหมวดธุรกิจ และไม่นำหลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP เกิน 1 ปีมารวมในการคำนวณ ทั้งนี้ จะมีการปรับฐานการคำนวณดัชนีเช่นเดียวกันกับดัชนีราคา SET Index

http://www.tsi-thailand.org/
ปัจจัยที่มีผลกระทบกับราคาหุ้น
        นักลงทุนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกับการลงทุนในหุ้นสามัญอาจสงสัย และมีคำถามในใจ ว่า “วันนี้หุ้นที่ตนถือไว้จะเพิ่มขึ้น หรือจะลดลง”, “ราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงเกิดจากอะไร” หรือ “เราจะสามารถคาดการณ์ หรือรู้ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นได้หรือไม่” การจะตอบคำถามเหล่านี้ได้ นักลงทุนต้องเข้าใจถึงปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดราคาหุ้น หรือปัจจัยที่จะส่งผลกระทบกับราคาหุ้นนั่นเอง
       แนวคิดหนึ่งที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตอบคำถามดังกล่าว และช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดราคาหุ้น คือการใช้แนวความคิด “การหามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของหุ้นสามัญ”
การหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสามัญ คืออะไร? 
      
        แนวความคิดการหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสามัญ เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่า นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นสามัญวันนี้ย่อมคาดหวังผลประโยชน์ หรือผลตอบแทนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตจากการลงทุนในหุ้นสามัญดังกล่าว ดังนั้น ราคาหุ้นที่นักลงทุนยอมจ่ายในวันนี้จึงเป็นราคาสำหรับสิ่งที่ตนคาดหวังว่าจะได้รับในอนาคตนั่นเอง

        จากแนวคิดดังกล่าวทำให้เราทราบได้ว่า ราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไปจึงน่าจะเกิดจากการที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า สิ่งที่ตนจะได้รับในอนาคตทั้งในรูปของเงินปันผล และส่วนต่างราคาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น ถ้ามีผู้คาดการณ์ว่าการลงทุนในหุ้นสามัญ ABC จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลมากขึ้น ก็จะทำให้บุคคลนั้นยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อหุ้น ABC ในราคาที่สูงขึ้น ราคาหุ้น ABC ก็จะปรับตัวสูงขึ้น

            ในทางกลับกัน ถ้านักลงทุนคนหนึ่งคาดการณ์ว่าหากลงทุนในหุ้น ABC ณ ปัจจุบัน โดยถือไปอีก 2 – 3 เดือน แล้วขายต่ออาจจะได้ราคาขายต่อน้อยกว่าตอนที่ตนซื้อมา นักลงทุนคนนั้นก็จะไม่ยอมจ่ายเพื่อซื้อหุ้น ABC ณ ราคาปัจจุบัน แต่จะยอมจ่ายในราคาที่ต่ำกว่าเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่คาดว่าตนอาจจะเผชิญในอีก 2 – 3 เดือนข้างหน้า ราคาหุ้น ABC ก็จะปรับตัวลดลงจากตัวอย่างข้างต้น พอจะสรุปได้ว่า
ราคาหุ้น ณ เวลาปัจจุบัน น่าจะถูกกำหนดมาจาก 2 ปัจจัยหลักๆ คือ 
   
          1. ผลตอบแทนที่ตนคาดว่าจะได้รับทั้งในรูปของเงินปันผล และส่วนต่างราคา 
          2. ความเสี่ยงที่นักลงทุนจะต้องเผชิญจากการลงทุนในหุ้นสามัญ

ตัวแปรที่ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทน
            นักลงทุนบางคนอาจมีคำถามต่อว่า แล้วผลตอบแทนที่ตนคาดว่าจะได้รับทั้งในรูปของเงินปันผล และส่วนต่างราคา กับความเสี่ยงที่ตนจะต้องเผชิญจากการลงทุนในหุ้นสามัญนั้นเกิดจากปัจจัยใด ในหัวข้อนี้ขอสรุปตัวแปรหลัก 3 ประการที่เป็นตัวกำหนด ผลตอบแทน และความเสี่ยง ดังต่อไปนี้
           1. ตัวแปรทางเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจดี หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ดีจะมีราคาเพิ่มขึ้น เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจดี ประชาชนจะกล้าที่จะจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้น กำไรก็เพิ่มขึ้นตามมา และท้ายที่สุดเมื่อบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น บริษัทก็จะสามารถจ่ายผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้มากขึ้นตามไปด้วย
http://www.tsi-thailand.org/
ตัวแปรที่ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดว่าจะได้รับ กับความเสี่ยงที่นักลงทุนจะต้องเผชิญ
    นอกจากเรื่องของผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว หากนักลงทุนเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีจริง ยังมีส่วนให้นักลงทุนกล้าที่จะลงทุนซื้อหุ้นมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่าโอกาสที่บริษัทจะขาดทุนในช่วงนี้มีน้อย ดังนั้น ความเสี่ยงจากการลงทุนก็น้อยไปด้วย นักลงทุนจึงกล้าที่จะลงทุนเพิ่มขึ้น จึงเป็นโอกาสให้ราคาหุ้นมักปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไม่ดีจะมีราคาลดลง เนื่องจากนักลงทุนจะมีความกังวลในผลประกอบการของบริษัท กล่าวคือช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อของประชาชนลดลง ยอดขายของบริษัทจะลดลง กำไรของบริษัทจะลดลงหรือขาดทุน และท้ายที่สุดนักลงทุนจะไม่ได้รับการจัดสรรกำไรจากบริษัท เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนรู้สึกถึงความเสี่ยงจากการลงทุนจึงมีการขายหุ้นออกมา เมื่อมีการขายหุ้นออกมาจำนวนมากก็จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงในที่สุด
         2. ตัวแปรอุตสาหกรรม ถ้าอุตสาหกรรมใดอยู่ในช่วงขาขึ้น ราคาหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้นมักจะปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าผลประกอบการของบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นจะปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะอุตสาหกรรม ในทางตรงกันข้าม ถ้าอุตสาหกรรมใดอยู่ในช่วงขาลง ราคาหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมนั้นก็จะมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลถึงความเสี่ยงจึงขายหุ้นในอุตสาหกรรมดังกล่าวออกมา 
          3. ตัวแปรผลประกอบการของบริษัทนั้นๆ เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานของบริษัทนั้นโดยตรง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ กลยุทธ์ของบริษัท และความสามารถของผู้บริหาร กล่าวคือ ในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมไม่ดี หากผู้บริหารของบริษัทมีความสามารถสูง ก็อาจจะทำให้ผลประกอบการของบริษัทลดลงไม่มาก และราคาหุ้นก็จะปรับตัวลดลงไม่มาก

ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ
บทความโดย : The Stock Exchange of Thailand
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มีข้อสงสัยสามารถแสดงความคิดเห็นเข้ามาได้ครับ เรายินดีตอบกลับให้...