- กองทุนรวม (Mutual Fund)
- กองทุน ETF
กองทุน ETF หรือ “Exchange Traded Fund” คือ กองทุนเปิดที่ลงทุนในหุ้นทุน และจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถ้ามาดูตามคำศัพท์ภาษาอังกฤษแต่ละคำที่ประกอบขึ้นได้ดังนี้
- Exchange: หมายความว่า มีการนำหน่วยลงทุนไปจดทะเบียนในตลาดรอง (secondary market)หรือตลาดหลักทรัพย์ฯ (the stock exchange)
- Traded: หมายความว่า สามารถทำการซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือโบรกเกอร์ ได้เสมือนกับเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนตัวหนึ่ง ดังนั้น สภาพคล่อง (liquidity) ของกองทุน ETF จึงไม่ต่างจากหลักทรัพย์จดทะเบียนทั่วๆ ไปที่สามารถซื้อขายกันได้ตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถทราบราคาซื้อขายได้ในทันทีแบบ Real Time อีกด้วย
- Fund: หมายความว่า กองทุน ETF เป็นกองทุนรวม (mutual fund) ประเภทหนึ่งโดย ETF เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่เน้นการสร้างผลตอบแทนให้เท่ากับดัชนีอ้างอิง อาทิ ดัชนีราคาหุ้น ดัชนีราคาหุ้น SET50 ดัชนีราคาตราสารหนี้ เป็นต้น
- ตราสารหนี้ หรือ ตราสารหนี้ (Debt Instrument หรือ Fixed Income Securities) หมายถึง ตราสารทางการเงินที่ผู้ออกตราสารซึ่งเรียกว่า ผู้กู้หรือลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวดๆ และเงินต้น หรือผลประโยชน์อื่นๆ ตามข้อกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อซึ่งเรียกว่า ผู้ให้กู้หรือเจ้าหนี้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนของตราสารหนี้นั้นจะมีตั้งแต่ระยะสั้น (ไม่เกินหนึ่งปี) ระยะปานกลาง (หนึ่งถึงห้าปี) ไปจนถึงระยะยาว (เกินห้าปีขึ้นไป) กรณีตราสารหนี้ในตลาดทุนโดยทั่วไปมักจะหมายถึงตราสารที่มีอายุไถ่ถอนมากกว่าหนึ่งปีขึ้นไป โดยผู้ซื้อจะได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย ส่วนลดรับ หรือผลประโยชน์อื่นตามที่ได้มีการกำหนดไว้
![]() |
http://www.tsi-thailand.org |
- ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) คือ
ตราสารทางการเงินที่ก่อกำเนิดจาก อ้างอิงจาก หรือผันแปรตาม สินทรัพย์อ้างอิง โดยทั่วไปตราสารอนุพันธ์จะมีมูลค่าขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) หรือตัวแปรอ้างอิงอื่นๆ (Underlying Variable)สินทรัพย์ที่อ้างอิง อาจเป็นตราสารทางการเงิน เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ พันธบัตรตั๋วเงิน หุ้นสามัญ ฯลฯ หรืออาจเป็นสินค้าหรือสินทรัพย์อื่นๆ เช่น น้ำมัน ข้าว บ้านรถยนต์ ฯลฯ ตามแต่ที่ตราสารอนุพันธ์นั้นได้กำหนดไว้ว่าเป็นการอ้างอิงถึงสินทรัพย์ใดตัวอย่างของอนุพันธ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั้น เช่น สัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดิน ซึ่งปกติการซื้อขายบ้านและที่ดินเป็นการทำสัญญาจะซื้อจะขายกัน โดยผู้ซื้อทำการวางเงินมัดจำจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้ขาย
*เช่น บ้านมีราคา 3,000,000 บาท ผู้ซื้อได้ตกลงที่จะวางเงินมัดจำจำนวน 500,000 บาทในวันทำสัญญา และจะมีการส่งมอบบ้านกันในอนาคต เช่น อีก 6 เดือนข้างหน้า ในระหว่างสัญญานั้นผู้ซื้อก็จะดำเนินการขอกู้เงินจากธนาคาร เพื่อนำมาซื้อบ้านและที่ดินดังกล่าว หากธนาคารอนุมัติเงินกู้ ผู้ซื้อก็จะนำเงินมาชำระค่าบ้านตามสัญญา หรือหากผู้ซื้อไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารได้ ผู้ซื้อก็จะไม่สามารถทำตามสัญญาได้ ผู้ขายก็จะยึดเงินมัดจำไป หรือหากผู้ซื้อสามารถขายสัญญาดังกล่าวให้แก่ผู้อื่นได้ ผู้ซื้อก็จะได้รับเงินค่ามัดจำคืน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับราคาที่ผู้ซื้อสามารถที่จะขายสัญญาจะซื้อจะขายได้ หากราคาบ้านมีราคาสูงขึ้นในระหว่างเวลา 6 เดือน สัญญาดังกล่าวอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้น และถ้าราคาบ้านมีราคาลดลงในระหว่าง 6 เดือน สัญญาดังกล่าวอาจมีมูลค่าลดลง
![]() |
http://www.tsi-thailand.org |
- ตราสารทุน (Equity Instruments)
โดยทั่วไปตราสารทุนแบ่งออกเป็นหลายประเภท ดังนี้
1.หุ้นสามัญ (Common Stock)
เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน ซึ่งออกโดยบริษัทมหาชนจำกัดที่ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน โดยผู้ถือหุ้นสามัญจะมีสิทธิร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือครองอยู่ กล่าวคือ ร่วมเป็นผู้ตัดสินใจในปัญหาสำคัญในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เช่น การเพิ่มทุน การจ่ายเงินปันผล การควบรวมกิจการ ฯลฯ นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นสามัญยังมีสิทธิได้รับเงินปันผลเมื่อบริษัทมีผลกำไร และมีโอกาสได้รับกำไรจากส่วนต่างของราคาเมื่อราคาหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นตามศักยภาพของบริษัท รวมถึงมีโอกาสได้รับสิทธิในการจองซื้อหุ้นออกใหม่เมื่อบริษัทเพิ่มทุนหรือจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิต่างๆ ให้แก่ผู้ถือหุ้นมีลักษณะคล้ายคลึงกับหุ้นกู้แตกต่างกันตรงที่หุ้นกู้แปลงสภาพมีสิทธิที่จะแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญในช่วงเวลา อัตรา และราคาที่กำหนดในหนังสือชี้ชวน ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจดี หุ้นประเภทนี้ได้รับความนิยมมาก เพราะผู้ซื้อคาดหวังผลตอบแทนที่จะได้รับจากราคาหุ้นสามัญ เมื่อแปลงสภาพแล้วจึงจะทำกำไรได้มากกว่าผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยของหุ้นกู้ธรรมดา
นอกจากหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิแล้ว ตราสารทุนยังรวมไปถึงตราสารที่มีสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญแฝงอยู่ด้วย ได้แก่
- ใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือวอแรนท์ (Warrant)
- ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant : DW
- ใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ (TransferableSubscription Rights : TSR)
- ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย หรือเอ็นวีดีอาร์ (Non - Voting Depositary Receipt : NVDR)
- ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง (Depository Receipt : DR)
**หลักทรัพย์ที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ SET และ mai (ณ วันที่ 1 พ.ย. 2550)
![]() |
http://www.tsi-thailand.org |
***สำหรับเนื้อหาที่เกี่ยวกับตราสารทุนนี้ จะขอเน้นไปที่ “หุ้นสามัญ” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “หุ้น” เป็นหลัก
ภาษีที่เกี่ยวข้อง
การลงทุนในตราสารทุนประเภท “หุ้นสามัญ” และ “หุ้นบุริมสิทธิ” ผู้ลงทุนไทยที่เป็นบุคคลธรรมดา จะมีประเภทเงินได้ที่เกี่ยวข้องกับการเสียภาษีที่ต้องพิจารณา คือ เงินปันผล (Dividend) และเงินกำไรจากการขายหรือโอนหุ้น (Capital Gain) ซึ่งสามารถสรุปภาระภาษีของผู้ลงทุนได้ตามตารางนี้
![]() |
http://www.tsi-thailand.org |
เครดิตภาษีเงินปันผล
ผู้ลงทุนจำเป็นจะต้องรู้และเข้าใจเรื่องภาษี เพราะการจ่ายภาษีอากรให้ถูกต้องและครบถ้วนตามกฎหมายกำหนดเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนจะต้องถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ความเข้าใจเรื่องภาษียังอาจช่วยประหยัดรายจ่ายภาษีได้ด้วย
สำหรับ “เงินปันผล” หรือ “เงินส่วนแบ่งกำไร” นั้น มีที่มาจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แต่กำไรสุทธินี้ได้เสียภาษีไปแล้วครั้งหนึ่งในรูปของภาษีเงินได้นิติบุคคล เมื่อนำมาจ่ายเป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรให้กับผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนก็ต้องนำเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรดังกล่าวมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีก ซึ่งเข้าข่ายเป็นการเสียภาษีซ้ำซ้อนจากกำไรก้อนเดียวกัน
ทางกรมสรรพากรจึงหาแนวทางเพื่อที่จะบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้ที่ได้รับเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไร ซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 47 ทวิ กำหนดไว้ว่าให้คืนเงินภาษีให้แก่ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเงินภาษีที่คืนให้นี้เรียกว่า “เครดิตภาษีเงินปันผล”
ทั้งนี้ กฎหมายได้ให้ทางเลือกว่า... จะเลือกถูกหัก ณ ที่จ่าย 10% แล้วไม่ต้องนำเงินปันผลมารวมคำนวณเป็นเงินได้ตอนสิ้นปี หรือจะนำเงินปันผลมารวมคำนวณเป็นเงินได้และเสียภาษีตามอัตราก้าวหน้าตอนสิ้นปีก็ได้แต่อย่างไรก็ตาม หากเลือกที่จะนำมารวมคำนวณแล้ว ก็ต้องนำเงินปันผลทุกก้อนที่ได้รับมาคำนวณ จะเลือกเฉพาะเงินปันผลของบางบริษัทมารวมไม่ได้ โดยสูตรการคำนวณเครดิตภาษีเงินปันผลมีดังนี้
![]() |
http://www.tsi-thailand.org |
แต่เนื่องจากบริษัทแต่ละบริษัทเสียภาษีนิติบุคคลในอัตราที่ไม่เท่ากัน ดังนั้น ปัจจัยที่ผู้ลงทุนจะใช้พิจารณาว่าเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับนั้น สามารถนำมาเครดิตภาษีได้หรือไม่ก็คือ “บริษัทที่ลงทุนเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือไม่”
ถ้าบริษัทนั้น “เสียภาษี” ผู้ลงทุนก็สามารถใช้เครดิตภาษีเงินปันผลได้ แต่จะนำมาเครดิตได้ในอัตราเท่าใด ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทที่ลงทุนเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละเท่าใด หรือถ้าบริษัทเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหลายอัตรา ก็จะแยกคำนวณตามเงินปันผลในแต่ละอัตรา ซึ่งจะระบุชัดเจนอยู่ในหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย
แต่ถ้าบริษัทนั้น “ไม่เสียภาษี” ผู้ลงทุนจะไม่สามารถใช้เครดิตภาษีเงินปันผลได้ ซึ่งผู้ลงทุนควรจะพิจารณาต่อว่าบริษัทไม่เสียภาษีเนื่องจากอะไร เช่น เป็นกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และบริษัทยังอยู่ในช่วงเวลายกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นต้น
![]() |
http://www.tsi-thailand.org |
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองไปดูตัวอย่างการคำนวณภาษีและการขอเครดิตภาษีเงินปันผล ซึ่งการคำนวณดังกล่าวจะเป็นการคำนวณในกรณีที่ผู้ลงทุนมีรายได้ 2 ทาง คือ “เงินเดือน” และ “เงินปันผลจากบริษัทที่เสียภาษีนิติบุคคลในอัตรา 30%” โดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ...
- กรณีที่ 1 : ยอมให้หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% แล้วไม่ต้องนำเงินปันผลมารวมคำนวณภาษีตอนสิ้นปี
- กรณีที่ 2 : นำเงินปันผลมารวมคำนวณภาษี และขอเครดิตภาษีตอนสิ้นปี
![]() |
http://www.tsi-thailand.org |
จากตัวอย่างจะพบว่า...
- กรณีไม่รวมเงินปันผล ผู้ลงทุนต้องเสียภาษี 37,000 บาท ซึ่งเมื่อหักลบกับภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้วจำนวน 37,000 บาท ทำให้ตอนสิ้นปีไม่ต้องชำระภาษีเพิ่ม ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เงินคืนจากกรมสรรพากร แต่หากมานึกดูให้ดีๆ จะพบว่า... ก่อนที่ผู้ลงทุนจะมาคำนวณภาษีตอนสิ้นปีนั้น ผู้ลงทุนได้เลือกให้บริษัทหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินปันผลไปก่อนแล้ว 7,000 บาท (ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในตารางข้างต้น) ดังนั้น จริงๆ แล้ว ผู้ลงทุนจะเสียภาษีทั้งสิ้น 44,000 บาท (37,000 + 7,000)
- กรณีรวมเงินปันผล ผู้ลงทุนต้องเสียภาษี 57,000 บาท ซึ่งดูเหมือนจะมากกว่ากรณีไม่รวมเงินปันผลค่อนข้างมาก แต่เมื่อหักลบกับภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้วจำนวน 44,000 บาท (37,000 + 7,000) และเครดิตภาษีอีก 30,000 บาท ทำให้ผู้ลงทุนไม่ต้องชำระภาษีเพิ่มตอนสิ้นปี แถมยังได้เงินคืนจากกรมสรรพากรตั้ง 17,000 บาท นั่นหมายความว่าจริงๆ แล้ว ผู้ลงทุนจะเสียภาษีทั้งสิ้นแค่ 40,000 บาท (57,000 - 17,000) น้อยกว่ากรณีไม่รวมเงินปันผลถึง 4,000 บาทเลยทีเดียว
เทคนิคคร่าวๆ ว่า… จะเลือกใช้เครดิตภาษีเงินปันผลหรือไม่ ให้พิจารณาจากเงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษี หากใครมีเงินได้สุทธิอยู่ในขั้นที่ได้รับยกเว้นภาษี หรือเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า 30% ควรเลือกใช้เครดิตภาษีเงินปันผล เนื่องจากมีโอกาสได้รับเงินภาษีคืน
แต่หากใครมีเงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษีในอัตรา 37% ก็ไม่ควรใช้สิทธิขอเครดิตภาษี เพราะการนำเงินปันผลมาทำการเครดิตภาษี ไม่ว่าเงินปันผลก้อนนั้นจะมากหรือน้อยแค่ไหน อาจไม่ได้ประโยชน์อะไร กล่าวคือ จะเสียภาษีเท่าเดิม เท่ากับกรณีที่ไม่ได้นำเงินปันผลมารวมคำนวณ แต่อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้ก็ไม่แน่เสมอไป ควรจะลองคำนวณดูก่อนด้วย
ฝากทิ้งท้ายไว้อีกนิด สำหรับหลายๆ ท่านที่เคยมองข้ามการขอเครดิตภาษีเงินปันผลมานาน นับจากนี้อัตรภาษีที่จ่ายของแต่ละบริษัทน่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน เนื่องจากผลประโยชน์เพิ่มเติมจากการขอเครดิตภาษีเงินปันผลดังกล่าว อยู่ที่ว่า... ท่านพร้อมที่จะให้ความสนใจกับผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับนี้ หรือยังคงละเลยผลประโยชน์ส่วนนี้ต่อไปอีก
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ
บทความโดย : The Stock Exchange of Thailand
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
มีข้อสงสัยสามารถแสดงความคิดเห็นเข้ามาได้ครับ เรายินดีตอบกลับให้...