"เล่นหุ้นง่ายๆ ตามสไตล์เรา" รวบรวบเทคนิคทั้งหมดในการเล่นหุ้นให้ได้กำไร
บทความที่ได้รับความนิยม
-
สำหรับผม กราฟสำคัญมากครับสำหรับการเล่นเดย์เทรด เพราะการเล่นเดย์ให้ได้น้ำได้เนื้อนั้น ต้องเล่นหุ้นปั่นครับ (ไม่ควรไปเดย์เทรดบิ๊กแคพ กำไรไม่คุ...
-
https://www.youtube.com/channel/UC5jvlqVGLVjNiUgjCwYcWFg ****กดติดตามช่อง == https://goo2url.com/dhplZ ติดต่อปล่อย-เช่า ลิ้งค์ไ...
-
ถ้าการ "เล่นหุ้น" เปรียบเสมือน "ต้นไม้นานาพรรณ " ที่ขึ้นปกคลุมในป่าใหญ่ ล้อมรอบด้วยธรรมชาติ ดิน ฟ้า อากาศ ...
-
..... by แท๊กซี่นิรนาม จากคุณ : แท็กซี่นิรนาม เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 53 14:49:00 basic trading strategy 1. รู้นิสัยตัวเอง หาตัวเองใ...
-
วิเคราะห์แบบพื้นฐาน ข้อมูลอุตสาหกรรม นอกจากการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจที่นักลงทุนควรทราบก่อนการตัดสินใจลงทุนในหุ้นสามัญแล้ว ข้อมูลสำคัญ...
-
http://www.tsi-thailand.org ยุคตกต่ำของดอกเบี้ยกลายเป็น “ ฝันร้าย ” ของชมรมคนพิสมัยดอกเบี้ยใครที่เคย “ ฝันหวาน ” เพราะไ...
-
????? หลายคงมีความสงสัยว่าเราจะไปหาเครื่องมือที่จะมาใช้ในการลงทุนจากไหนแบบฟรีๆ(เสียเงินก็มีน่ะ) คำตอบนั้น....หาได้ง่ายมากเพราะด้วยยุคปั...
-
เริ่มต้นเล่นหุ้นอย่างไร? เลือกเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ โดยสามารถหารายชื่อโบรกเกอร์ได้ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( www.set.or.th/ ) htt...
-
....by อ.แท๊กซี่นิรนาม สินธร-พันทิป การวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสุดท้าย เผอิญเขียนตอบน้องคนหนึ่งเขาไว้ แล้วเห็นว่ามันอาจมีประโยชน์ต่อเพื่อ...
-
วิเคราะห์แบบพื้นฐาน การประเมินมูลค่าหุ้น การประเมินมูลค่าหุ้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักลงทุนใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายหุ...
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ความแตกต่างระหว่างผู้ลงทุนรายย่อยกับรายใหญ่
ปัจจุบันการเล่นหุ้นเพื่อสู้กับตลาดเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะตลาดเองก็มีผู้ลงทุนรายใหญ่กระจายตัวกันอยู่มากมาย บางกลุ่มก็ทำงานกับเป็นเครือข่าย(Data link) ระหว่างกัน แจ้งข้อมูลข่าวสารระหว่างกันตลอดเวลา และถ้าเทียบเป็นกลุ่มผู้ลงทุนก็เป็นสิ่งที่ท้าทายมากที่จะเราสามารถเข้าไปหยิบเงินส่วนต่างมาได้ มันมีคำถามขึ้นมาว่าเพราะอะไร.....คำตอบง่ายมาก
1.Power คือ...กลุ่มที่เป็นผู้ลงทุนสถาบันมีเงินมาก ดังนั้นการที่มีเงินมากก็สามารถจะกำหนดราคาให้ขยับขึ้นลงได้(**ถ้าสถาบันซื้อจริง5ช่องก็คงไม่อยู่) และการที่ราคาเริ่มขยับมันก็จะเป็นสัญญานให้คนส่วนใหญ่เข้าไปซื้อ ซึ่งแน่นอนการที่เข้าไปซื้อทีหลังต้นทุนก็ย่อมสูงกว่าอยู่แล้ว และถ้าพูดว่าเราขายก่อนได้มัย คำตอบก็คือได้ แต่เราคิดถูกมัยว่าเราจะขายก่อนเขาได้ มาดูข้อต่อไป
2.Data คือ...การที่้ผู้ลงทุนรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสถาบัน หรือกลุ่มต่างๆที่มีเม็ดเงินที่สูง คนเหล่านั้นก็ต้องสรรหาเครื่องมือที่ดีที่สุดมาใช้ ซึ่งถ้าเป็นผู้ลงทุนรายย่อยไม่มีทางแน่นอนที่จะมี มันแสดงให้เห็นได้เลยว่าข้อมูลที่เราได้รับเทียบไม่ได้กับข้อมูลของคนเหล่านั้นมีได้เลย แน่นอนการมีข้อมูลมากก็ย่อมที่จะรับรู้อะไรๆได้ก่อน การขยับตัวก็เร็วกว่า
3.Plan คือ...ผู้ลงทุนรายใหญ่ เนื่องจากมีปริมาณเงินที่มากรูปแบบการวางแผนก็ต้องรัดกุมเป็นธรรมดา
4.Notification คือ...เช่น ...มีเซ็ตระบบการแจ้งเตือนเมื่อตลาดมีทิศทางที่รุนแรง เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ ว่าจะทำอะไร1234...แนวทางปฎิบัติเป็นอย่างไร
^^^สรุปจากทั้งหมดที่กล่าวมาเราได้อะไร...คำตอบคือ...ทำให้เราเข้าว่าการเล่นหุ้นเป็นเรื่องที่ยากที่เราจะสามารถอยู่ในตลาดได้นานและมีกำไร เก็บเกี่ยวดอกผล ....ถ้าเรายังเล่นอย่างประมาทและเสี่ยงกับมัน ดังนั้นแนวทางที่ดีที่สุดคือเราต้องเลือกลงทุนอย่างฉลาด เน้นการลงทุนแบบระยะยาว....พยายามศึกษาและทำตามให้ได้........และรับลองว่า...เราจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในตลาดทุนแน่นอน.....ครับ
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ขอฝากบทความเตือนใจหลายๆคนของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรไว้ให้เป็นสิ่งพึ่งระลึกในการเล่นหุ้นเสมอครับ..."HUNGER GAME...เกมล่าหุ้น"
การเล่นหุ้นช่วงหุ้นบูมอย่างในช่วงนี้ ทำให้ผมนึกไปถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ที่ผมได้ดูและรู้สึกว่าสนุกและมีข้อคิด หรือปรัชญาที่แหลมคม
หนังเรื่องนี้ทำมาจากหนังสือที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ในระดับเดียวกับเรื่องแฮรี่พอร์ตเตอร์ชื่อ The Hunger Game หรือแปลตรงๆ คือ "เกมของผู้ที่หิวโหย" เนื้อเรื่องคร่าวๆ มีว่ามหาอาณาจักรแห่งหนึ่ง ได้ปราบปรามรัฐที่เป็นกบฏสิบกว่าแห่งสำเร็จ หลังจากนั้นทุกปี แต่ละรัฐต้องส่งคนมารัฐละสองคน เพื่อเป็น "เครื่องบรรณาการ" ให้กับอาณาจักร เพื่อเข้าร่วม "เล่นเกม" ที่ชื่อว่า Hunger Game ซึ่งคนที่อยู่ในจักรวรรดิจะได้ชมสดแบบ "เรียลลิตี้โชว์"
หนังเรื่องนี้ทำมาจากหนังสือที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ในระดับเดียวกับเรื่องแฮรี่พอร์ตเตอร์ชื่อ The Hunger Game หรือแปลตรงๆ คือ "เกมของผู้ที่หิวโหย" เนื้อเรื่องคร่าวๆ มีว่ามหาอาณาจักรแห่งหนึ่ง ได้ปราบปรามรัฐที่เป็นกบฏสิบกว่าแห่งสำเร็จ หลังจากนั้นทุกปี แต่ละรัฐต้องส่งคนมารัฐละสองคน เพื่อเป็น "เครื่องบรรณาการ" ให้กับอาณาจักร เพื่อเข้าร่วม "เล่นเกม" ที่ชื่อว่า Hunger Game ซึ่งคนที่อยู่ในจักรวรรดิจะได้ชมสดแบบ "เรียลลิตี้โชว์"
กฎและวิธีการเล่นเกมนี้ คือ คนจำนวนยี่สิบกว่าคนนี้ จะถูกนำไปปล่อยไว้ในป่าพร้อมๆ กับกองอาหารและอาวุธต่างๆ หน้าที่ของแต่ละคนคือ พวกเขาต้องพยายามฆ่าคนอื่นให้หมด คนที่รอดเพียงคนเดียวจะเป็นผู้ชนะและจะกลายเป็น "ฮีโร่" ที่จะได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ โดยที่ "ป่า" หรือ "สนามแข่งขัน" จะมีกล้องติดอยู่ตลอด
นอกจากนั้น คนที่คุมเกมการแข่งขันซึ่งคล้ายๆ กับโปรดิวเซอร์ ยังส่งสัญญาณที่เป็นเสียง และปรับสภาพแวดล้อม หรือแม้แต่ส่งยา หรือสัตว์ร้ายเข้าไปในจุดที่ต้องการ เพื่อที่จะทำให้เกมน่าสนุกมากขึ้น
สาระสำคัญ นอกจากความสนุกสนานแล้ว ผมคิดว่าอยู่ที่เรื่องของการเผยถึง "สันดาน" ที่อยู่เบื้องลึกของคนเมื่อต้องเผชิญกับอันตรายที่ใหญ่หลวงคือความตาย และกลยุทธ์ที่ถูกต้องในการเอาตัวรอด ประเด็นก็คือ ตั้งแต่เริ่มต้นการแข่งขันเมื่อทุกคนถูกปล่อยตัวข้างกองอาหารและอาวุธ คนส่วนใหญ่ต่างก็รีบวิ่งเข้าไปหยิบฉวยอาวุธที่ตนเองถนัดและคว้าอาหารทันที คนที่ทำได้ก่อนก็จะพยายามฆ่าคนที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
นี่เป็นกลยุทธ์ที่ผิด โค้ช ซึ่งเป็นผู้ที่เคยชนะในการแข่งขันปีก่อนๆ บอกกับตัวเอก (นางเอก) ของเรื่องว่า ห้ามเข้าไปแย่งชิงอาวุธ หรืออาหารที่ถูกวาง "ล่อ"ไว้ เพราะในสถานการณ์แบบนั้น โอกาสที่จะถูกฆ่ามีสูง
กลยุทธ์ที่จะทำให้ชนะนั้น โค้ช บอกว่า เราต้องไม่พยายามฆ่าใครเลย สิ่งที่ต้องทำก็คือ พยายาม "หนี" หรืออย่างมากก็คือป้องกันตัว แม้จะมีโอกาส เราก็จะต้องไม่ฆ่าถ้าไม่จำเป็น พูดง่ายๆ ว่าอย่าทำตัวให้เป็นเป้าหมายในการถูกล่า ตรงกันข้าม ปล่อยให้คนอื่นฆ่ากันเองดีกว่า
เหตุการณ์ในภาพยนตร์ ช่วงหนึ่งก็มีการรวมตัวของผู้เข้าแข่งขันกลุ่มหนึ่ง เพื่อไล่ล่าคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม นี่ก็เป็นเรื่องความคิดที่คนพยายามที่จะ "ร่วมกัน" เพื่อที่จะกำจัดคู่แข่งบางส่วนออกไป ซึ่งจะทำให้กลุ่มของตนได้ประโยชน์ แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็ต้องฆ่ากันเอง ด้วยวิธีนี้ พวกเขาคิดว่าโอกาสที่ตนเองจะชนะก็มีมากขึ้น เรื่องทำนองนี้ ผมคิดว่าเกิดขึ้นตลอดเวลาในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เช่น การที่รัสเซียทำสัญญาเป็น "พันธมิตร" กับเยอรมนีช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อที่จะแบ่งกันยึดประเทศที่อ่อนแอกว่า ที่ทั้งคู่ต่างก็อยากจะครอบครอง แต่ในที่สุดเมื่อสำเร็จแล้ว เยอรมนีก็หันกระบอกปืนใส่โซเวียต และรบกันรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามของโลก
มองดูการซื้อขายหุ้นระยะนี้ ผมพบว่า บางทีนักเล่นหุ้นบางกลุ่ม อาจกำลังเล่น Hunger Game กันอยู่ นั่นคือพวกเขากำลังเข้าไปเล่นหุ้นที่มีการเก็งกำไรรุนแรงมากที่ปรากฏตัวขึ้นมาแทบทุกวัน วันละไม่น้อยกว่า 3-4 ตัว หุ้นเหล่านี้เท่าที่ผมสังเกตและใช้วิจารณญาณส่วนตัว ก็พบว่าเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติร่วมอย่างน้อย 2-3 อย่าง ได้แก่
ข้อหนึ่ง เป็นหุ้นที่มี Free Float หรือหุ้นหมุนเวียนในตลาดน้อย หรือไม่ก็เป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดทั้งหมดของหุ้นต่ำถึงต่ำมาก สรุปก็คือ หุ้นทั้งหมดที่เล่นกันได้ของหุ้นตัวนั้น คิดตามราคาตลาดแล้ว ส่วนใหญ่มีไม่เกิน 4-500 ล้านบาท ที่ใหญ่หน่อยก็มีไม่เกิน 2-3,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเม็ดเงินของนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ๆ แล้ว ต้องบอกว่าน้อยมาก ขนาดที่ว่า ถ้า "ขาใหญ่" ต้องการ เขาคนเดียวก็กวาดซื้อหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดได้ทั้งหมด แต่จริงๆ แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เพราะมีนักเล่นหุ้นจำนวนมาก ที่พร้อมจะเข้ามาซื้อกันคนละเล็กละน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปสู่ "สวรรค์ชั้นดาวดึงส์" ได้แล้ว
ข้อสอง หุ้นเหล่านั้น ไม่มีสถิติราคาหุ้นในอดีตที่ยาวพอที่จะทำให้คน "ติดยึด" หรือถ้ามีราคาก็เป็นราคาที่ "เก่า" มาก ไม่สามารถใช้อ้างอิงได้ ดังนั้น เวลาที่ราคาจะปรับตัวขึ้นไป จึงไม่ค่อยมี "ข้อจำกัด"
ข้อสาม หุ้นที่จะวิ่งจริงๆ ส่วนใหญ่อยู่ในหุ้น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกที่ร้อนแรงที่สุดช่วงนี้คือ หุ้น IPO หรือหุ้นที่เข้าจดทะเบียนในตลาด โดยเฉพาะในตลาด MAI หุ้นกลุ่มที่สอง คือ กลุ่ม Turnaround หรือหุ้นที่ฟื้นตัวจากการล้มละลาย หรือปัญหารุนแรงทางธุรกิจ หรือการเงิน และกลุ่มสุดท้าย คือ หุ้นที่มีข่าวดี หรือเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของบริษัท เช่นจะมีคนมาเทคโอเวอร์ หรือเปลี่ยนธุรกิจของบริษัทใหม่ จากธุรกิจที่ย่ำแย่เป็นธุรกิจ "แห่งอนาคต"
การที่หุ้นดังกล่าวทั้งสามกลุ่ม ปรับตัวขึ้นไปรุนแรงมาก เช่น หุ้น IPO เข้าตลาดวันแรกขึ้นไปแล้วจากราคาจองหลายสิบหรือบางตัวหลายร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น ถ้ามองจากข้อมูลพื้นฐานที่ที่ปรึกษาการเงินคิดคำนวณไว้ น่าจะเชื่อได้ว่า ไม่น่าเป็นราคาที่เหมาะสม เหนือสิ่งอื่นใด ประวัติศาสตร์หุ้นยาวนานก็บอกอยู่แล้วว่า หุ้น IPO นั้น "It Probably Overpriced" ความหมายคือ ราคาที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อขายให้ประชาชนนั้น จะสูงเกินพื้นฐาน หุ้นฟื้นตัวเอง บางครั้งโดยเฉพาะในช่วงแรกของการฟื้นตัวอาจจะดูดีกว่าปกติ
แต่หลังจากนั้น อาจจะกลับไปสู่ "พื้นฐานที่แท้จริง" ของธุรกิจที่ว่ามันอาจจะไม่ใช่ธุรกิจที่ดี และถ้าจะเป็นข้อเตือนใจ คือ คำพูดของ วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ที่ว่า "Turnarounds Seldom Turn Around" แปลว่าหุ้นฟื้นตัวนั้น น้อยครั้งจะฟื้น สุดท้ายคือหุ้นที่มีข่าวระดับ เปลี่ยนแปลงธุรกิจ หรือพื้นฐานของธุรกิจ นี่เป็นอะไรที่ต้องระวังมาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่กิจการจะประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืนในสิ่งที่ตนเพิ่งจะเริ่ม
การเข้าไปร่วมเล่น "Hunger Game" หรือที่ผมอยากจะเรียกว่า "เกมล่าหุ้น" ผมคิดว่าเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะบ่อยครั้ง เราเข้าไปช่วงที่ราคาขึ้นไปมากแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด อาจมี "โปรดิวเซอร์" หรือคนจัดฉากและกำหนดพล็อตเรื่องไว้แล้ว โอกาสชนะอาจมีน้อยกว่าที่คิด
จริงอยู่ เกมอาจท้าทายน่าตื่นเต้น ผู้ชนะอาจเป็น "ฮีโร่" แต่นี่เป็นคนส่วนน้อย อาจไม่ใช่คนเดียวแบบในหนัง แต่ "คนตาย" อาจมีมากกว่า ถ้าเรารักจะเล่นก็ควรต้องมีกลยุทธ์ที่ดีเพื่อเอาตัวรอด แต่สำหรับผมแล้ว ผมปฏิเสธที่จะเล่น เราไม่ได้ถูกบังคับอย่างในภาพยนตร์ให้ต้องเข้าร่วมในเกมล่าหุ้นนี้ ผมเองเชื่อในสุภาษิตที่ว่า ความตื่นเต้นกับผลตอบแทนในตลาดหุ้นนั้น มักจะไปกันคนละทาง
Tags : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555
การเคลื่อนไหวต้องสัมพันธ์กับปริมาณเสมอ.....เป็นพื้นฐานที่จะนำมาใช้วิเคราะห์ในระดับสูงต่อไป
ปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่รู้จักวิธีใช้เครื่องมือในตลาดทุน
แต่มีน้อยที่จะรู้และเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมวันนี้เลยจะขอกล่าวถึงเครื่องมือ 2
ตัวที่จะเข้ามาช่วยควบคุมความเสี่ยงของเราให้อยู่ในสถานะที่รับได้อาจจะเป็นเครื่องมือที่ง่ายๆแต่ถ้าเรานำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้องก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเรามากที่เดียว มาเริ่มกันเลย........เครื่องมือนั้นก็คือ......
·
Most Active Volume
·
Top Gainer
***(ต้องใช้คู่กันเสมอ)
เพราะมันจะเป็นตัวที่จะตรวจสอบข้อมูลซึ่งกันและกัน
ยกตัวอย่าง .....เราสังเกตเห็นหุ้น Aจาก Tap Manu Top Gainer ว่าหุ้น A
มีมูลค่าสูงขึ้นเปลี่ยนแปลงจากราคาเปิดช่วงที่
1 สมมุติเลือกมาสัก 1 ตัว เราสังเกตแล้วว่ามีการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ
เราก็จะได้หุ้น A มา และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าหุ้นA น่าซื้อ วิธีการก็คือ
ลองเข้าไปดูต่อที่ Tap Manu Most Active Volume ถ้ามีหุ้น
A อยู่ก็แสดงว่าน่าซื้อ
เพราะอะไร...เพราะมันจะแสดงให้เห็นเลยว่าราคาหุ้นนั้นๆที่เปลี่ยนแปลงไป...มันเกิดจากปริมาณการซื้อจำนวนมากที่เข้ามาซื้อไม่ได้เกิดขึ้นจากการปั่น
หรือเกิดจากรายการซื้อที่ผิดปกติ ซึ่งสุดท้ายจะทำให้หุ้น A เป็นหุ้นที่น่าสนใจที่เราจะเข้าไปซื้อและทำกำไรได้ตัวหนึ่ง....จากการที่เราอาศัยเครื่องมือดังกล่าวคัดกรองมาแล้ว
***หมายเหตุ...ข้อมูลทั้งหมดที่เขียนขึ้นเป็นการเสนอแค่แนวทางที่เกี่ยวข้องกับการดูราคาหุ้นที่อิงกับปริมาณตามหลักปกตินิยมเท่านั้นที่จะช่วยให้เราจำกัดความเสี่ยงให้ได้ดียิ่งขึ้น..... ซึ่งจริงๆแล้วทั้งหมดอยู่ที่แต่ละคนจะหยิบอะไรมาแล้วมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองและเกิดประโยชน์กับผู้ใช้ให้มากที่สุดครับ.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)