บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

"เซียน VI ไทย" มักมีความเชื่อที่อันตราย(ในมุมมองของ VALUE INVESTOR)

 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กับบทความ "ความเชื่อที่อันตราย" ของ VI
          VI จำนวนไม่น้อยที่ผมได้พบเห็น โดยเฉพาะตามเว็บไซต์ต่างๆ มักมีศรัทธา หรือความเชื่อที่ยึดมั่นใน "แนวทาง VI" อย่างมั่นคง


     จนผมรู้สึกว่า "มากเกินไป" ส่วนหนึ่งของความเชื่อนี้ อาจเป็นเพราะ "ความสำเร็จของ VI" ทั้งในระดับโลกอย่าง วอร์เร็น บัฟเฟตต์ และปีเตอร์ ลินช์ และ "เซียน VI ไทย" จำนวนมากในช่วงเร็วๆ นี้  ที่เสนอแนวทางแบบ VI อย่างกว้างขวางและภาคภูมิ จนทำให้แนวทางอื่นในเรื่องการลงทุนกลายเป็นเรื่องที่อาจไร้สาระ หรือตลกในสายตาของ VI ที่ติดตามศึกษาทฤษฎี VI อย่างเข้มข้น และมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก   
 
     แน่นอน ความเชื่อเหล่านี้ เป็นสิ่งดีที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้เราไขว้เขวไปจากแนวทางที่ถูกต้อง แต่ถ้ายึดมั่นเกินไป บางครั้งอาจเป็นอันตรายเหมือนกัน เพราะจะไม่ยืดหยุ่น และถ้าเกิดความผิดพลาด ความเสียหายจะมากกว่าปกติ ลองดูว่าความเชื่อ หรือศรัทธาเรื่องไหนที่ผมเห็นว่าเราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
 
    เรื่องแรกคือ เชื่อว่าเราสามารถคำนวณ Intrinsic Value หรือมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้แม่นยำ และผิดพลาดมากในระดับทศนิยม และถ้าราคาหุ้นต่ำกว่านั้นมาก ทำให้เรามี  Margin Of Safety (MOS) มากพอ เราก็จะซื้อหรือถือหุ้นไว้ไม่ว่าสถานการณ์ตลาดจะเป็นอย่างไร หลายคนพร้อม "ตีแตก" ถ้า  MOS  สูงลิ่ว
 
     ประเด็นคือ มูลค่าที่แท้จริง ถ้าจะคำนวณจริงๆ ต้องมีสมมุติฐานสำคัญคือ ต้องรู้ว่ากำไรของบริษัทในอนาคตระยะยาวมากเป็นอย่างไร เงินสดหรือปันผลที่เราจะได้เท่าไร และจะโตอย่างไร นอกจากนั้น ต้องรู้ถึงต้นทุนของเงินทุนในตลาดด้วย ทั้งหมดนั้น ถ้าเปลี่ยนแปลงผิดจากที่คาดไว้ แม้เพียงเล็กน้อย มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปมากมาย   
 
     หลายคนอาจใช้สูตรง่ายๆ แบบหยาบๆ เช่น ใช้ค่า PE ว่า กิจการควรมีค่า PE 15 เท่า ถ้ารู้ว่ากำไรปีนี้จะเป็นเท่าไร ก็หามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้ แต่นี่ไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริงแน่ๆ ยกเว้นว่า กำไรของบริษัทปีต่อๆ ไปอีกยาวนาน ในอนาคตไม่ลดลง และค่า PE ยังเป็น 15 เท่า ไม่ใช่ 7 เท่า  
 
    ในความคิดของผม มูลค่าที่แท้จริงที่เราคิดไว้ จะเป็นช่วงที่กว้างไม่ใช่เลขตัวเดียว ที่จริงผมสนใจเฉพาะหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ต่ำที่สุดที่ผมคำนวณได้ ส่วนมูลค่าหุ้นที่สูงที่สุด ผมแทบไม่สนใจที่จะคำนวณ เหนือสิ่งอื่นใด มูลค่าหุ้นเติบโตและลดลงได้ตามเวลาที่ผ่านไป
 
     เรื่องที่สองคือ  VI จำนวนมากไม่เชื่อเรื่อง  Efficient Market หรือตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ พวกเขาคิดว่า "นายตลาด" ผิดพลาดเสมอ นายตลาดเป็นคนที่ "คุ้มดีคุ้มร้าย" ตามที่เบน เกรแฮม บอกไว้ เขาให้ราคาหุ้นที่ไม่มีเหตุผล บางครั้งก็สูงเกินพื้นฐานมาก บางครั้งก็ต่ำกว่าพื้นฐาน เราสามารถฉกฉวยประโยชน์โดยซื้อหุ้นที่มีราคา "ถูมากๆ" หรือขายหุ้นที่มีราคา "แพงมากๆ" ได้
 
    ผมก็เชื่อว่าหุ้นบางตัว และตลาดหุ้นบางสถานการณ์ มีหุ้นที่มีราคาแตกต่างจากมูลค่าพื้นฐานจริงๆ โดยเฉพาะบริษัทที่ถูกละเลยไม่มีคนสนใจ และเป็นหุ้นขนาดเล็ก แต่หุ้นที่มีขนาดใหญ่ หรือหุ้นที่มีคนซื้อขายและติดตามมากๆ หรือเป็นหุ้น "ยอดนิยม" ราคาหุ้นอาจจะสะท้อนพื้นฐานได้ใกล้เคียง   
 
     พูดง่ายๆ ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยเหมาะสม จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำกำไรได้สูงมากๆ แบบง่ายๆ ได้ ดังนั้น "นายตลาด" ก็คือคนทุกคนที่มาเล่นหุ้นตัวที่เรากำลังเล่นอยู่  บางครั้งอาจจะเห็นว่าคนอื่น รู้น้อยกว่าเรา จำนวนมากเล่นหุ้นโดยไม่เคยวิเคราะห์ด้วยซ้ำไป  
 
    แต่อย่าลืมว่า มีคนอื่นอีกหลายคน ที่อาจรู้มากกว่าเรา ที่สำคัญ พวกเขามี "น้ำหนัก" หรือเม็ดเงินสูงมาก ถ้าคำนวณแล้ว อาจมีฝีมือ หรือความรู้ในตัวหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ถ่วงน้ำหนักแล้ว ผลคือ ที่คิดว่าเรา "แน่" นั้น ที่จริงเราเป็น "หมู" อย่าลืมว่าแม้แต่ เบน เกรแฮม ก่อนตายยังยอมรับว่า ตลาดหุ้นอเมริกาได้พัฒนาจน "มีประสิทธิภาพ" ไม่เหมือนสมัยที่เขาเสนอแนวการลงทุนแบบ VI ย้อนหลังไปหลายสิบปี
 
    เรื่องที่สามคือ ความเชื่อที่ว่า ถ้าต้องการทำผลตอบแทนการลงทุนที่สูงต่อเนื่องยาวนานได้ ต้องซื้อหุ้นที่ Undervalue หรือหุ้นถูก และขายหุ้นที่ Overvalue หรือ Fair Value หรือหุ้นที่แพง หรือเต็มมูลค่า ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ได้ผลตอบแทนปีละ 30-40% หรืออาจมากกว่านั้นได้ในระยะยาวอาจเป็นสิบๆ ปี ด้วยวิธีนี้  เราอาจถือหุ้นแต่ละตัวโดยเฉลี่ยไม่เกินหนึ่งปี    
 
     การที่ได้ผลตอบแทนสูงแบบนี้ได้ เพราะหุ้นแต่ละตัว เมื่อมีราคาถูก เป็นหุ้น VI จะมีโอกาสมี  Rerate หรือการปรับราคาใหม่ คือมีช่วงที่หุ้นวิ่งขึ้นไปเร็วๆ บางทีเป็นเท่าตัว หรือหลายเท่าตัว เมื่อมีคนมาพบและ "แห่" เข้ามาซื้อ ทำให้ราคาขึ้นไปแรงมาก ทำให้หุ้นอาจไม่ Undervalue ต่อไป จึงต้องขายทำกำไรไปหาหุ้นตัวอื่น พวกเขาคิดว่า การซื้อแล้วถือไว้ยาวนาน จะไม่มีทางทำกำไรได้มาก เพราะระยะยาว แม้แต่หุ้นระดับ "ซุปเปอร์สต็อก" มักมีกำไรเติบโตไม่เกิน15-20% ต่อปี ซึ่งราคาหุ้นจะวิ่งไปตามผลกำไร คือปีละประมาณไม่เกิน 15-20%
 
      เหตุที่ผมคิดว่า ความเชื่อนี้อันตรายอยู่ที่ว่า ทำให้เรามีแนวโน้มเป็น Trader หรือนักเก็งกำไรแทนจะเป็นนักลงทุน ในระยะสั้นๆ ช่วงตลาดหุ้นบูม การเทรดหุ้นอาจทำกำไรได้ดีปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์ติดต่อกันบางที 3-4 ปี แต่ระยะยาว ถ้าช่วงตลาดไม่ได้เอื้อ การทำกำไรแบบนั้นเป็นเรื่องยาก การที่ถือหุ้นที่เป็นบริษัทยอดเยี่ยมและทำกำไรปีละ 15-20% ต่อเนื่องยาวนานจะปลอดภัยกว่า และผมเชื่อว่าโดยรวมจะให้ผลตอบแทนดีกว่า
 
      สุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงคือ ความเชื่อที่ว่า หุ้นที่มีค่า  PE และ PB  ต่ำมาก คือหุ้นที่มีราคาถูกและเป็นหุ้น VI แน่นอนโดยไม่ได้พิจารณาลึกซึ้งถึงพื้นฐานของกิจการ อันตรายของความเชื่อคือ ประการแรก ค่า B หรือมูลค่าทางบัญชีของบริษัท เป็นมูลค่าอดีตที่บริษัทลงทุนไปในรูปการซื้อทรัพย์สินเช่น โรงงาน อุปกรณ์ แต่มูลค่าที่แท้จริง หรือราคาตลาดของทรัพย์สิน อาจน้อยกว่ามาก  
 
      ตัวอย่างคือมูลค่าโรงงานและเครื่องจักรสิ่งทอของบริษัทเบิร์กไชร์ของบัฟเฟตต์ ตอนที่ต้องปิดกิจการ ราคาขายเท่ากับเศษเหล็ก ดังนั้น PB ที่ต่ำต่อเนื่องจึงอาจไม่มีความหมาย ต่อมาเมื่อค่า PE ลดลงต่ำมากเช่นกัน แต่นี่อาจเป็นเพราะกำไรในปีนั้นดีขึ้นมาก เพราะภาวะอุตสาหกรรม เช่น ราคาสินค้า หรือวัตถุดิบที่เป็นโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น หรือลงชั่วคราวที่ทำให้กำไรของบริษัทกระโดดขึ้นเพียงปีหรือสองปี   
 
      หลังจากนั้นค่า PE อาจกลับมาสูงอย่างเดิม ดังนั้น ค่า PE ที่เห็นว่าต่ำ ก็ไม่มีความหมายเช่นเดียวกัน สรุปแล้ว แม้หุ้นจะมีทั้งค่า  PE และ PB ที่ต่ำมาก ก็ไม่ได้เป็นหุ้นถูก ถ้าเราเข้าไปลงทุน และคิดว่าเรากำลังเจอหุ้นที่เป็นสุดยอด VI เราอาจขาดทุนได้มากอย่างไม่น่าเชื่อได้

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

เวลาและจังหวะสำคัญไหม?


         คนส่วนใหญ่มักจะเล่นหุ้นตามอารมณ์ของตนเอง ลืมที่จะคิดและประเมินสถานการณ์ก่อน เืลือกที่จะซื้อในจังหวะที่หุ้นขึ้นและมักจะเลือกขายในจังหวะที่มันลง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันมีหลายปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาก่อนการตัดสินใจแต่ละครั้ง ว่าเราจะซื้อจะขายตอนไหน...แต่ก่อนอื่นจะขอพูดถึงการกำหนดกลยุทธ์ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งสำคัญมาก เราต้องรู้ก่อนว่าจะเล่นอย่างไร สมมติว่าเป็นวันพรุ่งนี้(T+1,2,3,...) T คือวันนี้ ซึ่งวันที่ T เราจะต้องดูว่าเราจะตั้งปัจจัยอะไรบ้างมาพิจารณา เช่น เราจะซื้อหุ้นครั้งนี้ 1 ตัวกำหนดว่าถือไว้ อย่างน้อย 1,2,3,...เดือนและกำหนดว่าถ้่าขายจะขายที่ราคาเท่านี้ หรือขายเมื่อราคาหุ้นOverpricedแล้ว ซึ่งการถือแต่ละครั้งอาจจะใช้เกณฑ์การลงทุนระยะสั้น ระยะยาวก็ได้ ฯลฯ ส่วนเกณฑ์การขายอาจจะใช้เรื่องอัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratios)เข้ามาช่วยและค่อยเข้าไปซื้อจริง โดยขออธิบายดังนี้


  • เลือกหุ้นจากอะไร  ===>................. (กรอก) ...............เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเด่น(เอาเรื่่องSWOTมาจับก็ได้),ความผันผวนสูง(Swing High-Low) ฯลฯ
  • ช่วงราคาหุ้น  ===>................. (กรอก) ...............เช่น 5,10,60 ขึ้นไป(แล้วแต่สะดวกตามฐานะเลย) ถ้าหุ้นราคาสูงก็เสี่ยงน้อยหน่อย ราคาต่ำก็เสี่ยงสูงมากหน่อย
  • ระยะเวลาการลง  ===>................. (กรอก) ...............เช่น น้อยกว่า 6 เดือน,6 เดือน-1 ปี,1 ปี-5 ปี และมากกว่า 5 ปีขึ้นไป
  • ซื้อเมื่อไร(จังหวะ)  ===>................. (กรอก) ...............เช่น อุตสาหกรรมนั้นๆอยู่ในสถานการณ์วิกฤต อาจจะข่าวหรืออะไรก็ตามซึ่งมันส่งผลด้านจิตวิทยาเท่านั้นเและคนตกใจ แต่เราวิเคราะห์มาอย่างดีแล้วว่าธุรกิจนี้ดี เราก็เข้าไปซื้อเลย โดยเลือกช่วงที่คนริ่มเข้ามาซื้อน้อยๆแรงขายน้อยลง เพื่อให้ซื้อได้ในราคาีที่ดีที่สุด สมเหตุสมผล แต่ไม่ตองกังวนมากว่าซื้อถูกหรือยัง ซึ่งส่วนนี้มันจะเชื่อมกับเรื่องระยะการลง ถ้าเราซื้อและถือยาวก็ปล่อยได้ รอขายที่ราคาสูงๆได้เลย             


  • ขายเมื่อไป ===> ............(กรอก) ...............เช่น P/BV เริ่มสูง/เริ่มต่ำก็ว่าไป หรือเกณฑ์อื่นๆ สุดแล้วแต่..

(ขอเน้นเฉพาะแค่ 2 ส่วนน่ะครับ)

***ทุกคนต้องกรอกและทำตามแผนที่นั้น(อย่างมีวินัย)รับรองว่าการลงทุนจะเป็นเรื่องที่ง่ายและสร้างผลตอบแทนให้คุณอย่างงดงามแน่นอนครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ความสำเร็จสร้างได้...ถ้าใจพร้อม..!!




...บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หากคุณคิดที่จะทำมัน ทุกคนก็คิดได้ใช่มัย? แต่ทำไม?น้อยคนนักที่จะทำได้......อาร์คีมีดิส.. เคยกล่าวไว้ว่า "หากหาคานงัดที่ยาวพอ ..แล้วผมจะยกโลกให้คุณดู" ....มันสะท้อนให้เห็นว่าคุณไม่ต้องใช้แรงมากเลย แต่ขอให้ได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ก็พอ...ซึ่งมันก็คือปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็วในธุรกิจได้ง่าย และย่อมเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างบนโลกใบนี้ได้จริงๆ

                 "Leverage is about maximizing your results in a minimum amount of time"
"พลังที่ยิ่งใหญ่ คือ การเพิ่มปริมาณผลลัพธ์ให้มากที่สุด โดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด"
คู่กับ
"LEVERAGE IS THE ABILITY TO DO MORE AND MORE (AND MORE..) WITH LESS AND LESS" ด้วยการออกแรงให้น้อยลง
(T.Harv Eker)
  • ดั่งคำนิยามที่ว่า "ความมั่งคง คืออะไร? ก็คือ การที่เราทำทุกสิ่งบนโลกโดยใช้ร่างกาย สติ ปัญญาที่น้อยที่สุดและได้ผลกลับมาที่ง่าย มักจะตรงกับข้ามกับคำว่า ความยากจน คือ ออกแรงเยอะ แต่ได้ผลน้อย"

ยกตัวอย่าง...นักเขียน นักแต่งเพลง ผู้สร้างเทคโนโลยีต่างๆขึ้นมาบนโลก ล้วนแล้วแต่สร้างสิ่งเล็กๆขึ้นมาทั้งนั้นแต่ผลของมันยิ่งใหญ่เหลือเกิน...



วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

สัญญาณ..หุ้น




****กดติดตามช่อง == https://goo2url.com/dhplZ
ติดต่อปล่อย-เช่า ลิ้งค์ไลน์ = https://line.me/R/ti/p/%40dxm3601l
โทร.097-2299888 ไลน์ไอดี @markwinn หรือ 0056797


    เรามาดูกันว่า...มันมีเครื่องมืออะไรบ้างสามารถจับสัญญาณหุ้นได้..ในที่นี้จะขออ้างอิงกับระบบซอฟต์แวร์
...โดยบริษัทออนไลน์แอสเซ็ทจำกัดในแบบภสพรวมน่ะครับ....เพราะปัจจุบันระบบนี้เป็นระบบที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดการณ์.....


Superior Feature Options จะถูกแบ่งออกเป็นOptionsต่างๆ

    เรามาเริ่มกันเลย... Options นั้น...จะเป็นตัวที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนให้กับนักลงทุนโดย...แบ่งเป็น 4 ส่วนดังนี้
   1. ส่วนของ " Scan Feature " ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการค้นหาหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในเงื่อนไขที่นักลงทุนแต่ละท่านต้องการไม่เหมือนกัน โดยสามารถนำปัจจัยทางพื้นฐาน เทคนิค มาเป็นเงื่อนไขในการค้นหาหุ้นที่นักลงทุนสนใจได้
  2. ส่วนของ " Ranking & Compare " ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนเปรียบเทียบหุ้นในด้านพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในกรณีที่นักลงทุนสนใจหุ้นมากกว่าหนึ่งตัวแล้วต้องการเลือกหุ้นที่ราคาน่าจะวิ่งได้ดีกว่า รวมถึงฟังชั่นเพิ่มเงื่อนไขด้านสภาพคล่องเข้าไปใน Most Active เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้งานจริงได้มากขึ้น
  3. ส่วนของ " Convenient Feature " ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกในการใช้งานโปรแกรมเพื่อค้นหาข้อมูลสนับสนุนด้านการลงทุน

  4. ส่วนของ "  More Database " ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่เพิ่มเติมเข้ามาทั้งในส่วนของกราฟ และ Volume Analysis เพื่อช่วยในเรื่องการวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐานบางอย่างว่าถูกหรือแพงกว่าในอดีตที่ราคาเท่ากัน หรือประยุกต์ใช้เพื่อหาความสัมพันธ์ด้านต้นทุนราคาของนักลงทุนที่ซื้อขายในรอบ 90 วันย้อนหลัง


โดยทั้งหมดจะมีรายละเอียดดังนี้

**หมวดที่1** (Scan Feature) เป็นเครื่องมือประเภท คัดกรองหุ้นในรูปแบบต่างๆ 
  • Buy Sell Trend Scan คือ เครื่องมือที่ค้นหาหุ้นที่มีเปอร์เซ็นต์ Buy Volume มากกว่า Sell Volumeและมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 5 วัน หรือดูเฉพาะปริมาณซื้อขายสะสมและมูลค่าซื้อขายสะสมตามที่นักลงทุนต้องการได้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการไล่ซื้อฝั่ง OFFER (%Buy Volume มากๆ)โดยที่อยู่ในเกณฑ์หรือสภาพคล่องที่เรานักลงทุนคิดว่าเหมาะสมกับเงินทุนของตนเอง หรือในทิศทางตรงกันข้ามถ้าเราค้นพบหุ้นที่มี %Sell Volume มากๆพร้อมกับทิศทางราคาที่ลดลงค่อนข้างมากแสดงว่าหุ้นตัวนี้มีพฤติกรรมการทุบราคาซึ่งนักลงทุนอาจต้องตัดสินใจขายหุ้นดังกล่าวออกมา เพราะอาจมีแนวโน้มที่พฤติกรรมตัวนี้อาจจะมีอย่างต่อเนื่องสักระยะหนึ่ง


  • Top Fundamental Scan คือ เครื่องมือที่ค้นหาหุ้นที่ใช้ปัจจัยเพื่อฐานเบื้องต้นที่น่าสนใจในการลงทุน ดังนี้ ได้แก่ PE, PBV, Dividend ROA, ROE, Dividend Coverage, D/E, Market Cap., Net Profit Growth, Revenue Growth และมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 5 วัน นอกจากนั้นเครื่องมือตัวนี้ยังให้ความสำคัญกับสภาพคล่องอีกด้วย เนื่องจากหุ้นที่ค่าปัจจัยพื้นฐานดีบางตัวอาจไม่มีสภาพคล่อง รวมถึงนักลงทุนสามารถเลือกการเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังได้ตามแต่ที่นักลงทุนแต่ละท่านต้องการ เช่น ให้เรียงลำดับหุ้นที่มี PBV ต่ำก่อน ถ้าเท่ากันให้เรียงตาม PE หลังจากนั้นค่อย Dividend เป็นต้น


  •  Advance Technical Scan คือ เครื่องมือที่ค้นหาหุ้นที่สัญญาณซื้อทางกราฟเทคนิคแบบสามารถตั้งเงื่อนไขเองได้โดยมี Indicator ให้เลือกดังนี้ ได้แก่ Simple Moving Avg, Exponential Moving, Wight Moving Average,Bolinger Band, Avg, MACD, RSI, Slow Stochastic และ มูลค่าซื้อขายสะสมวันก่อนหน้า โดยสามารถ Scan Indicator ใน Period ดังนี้ คือ Day, 240 นาที, 120 นาที,60 นาที โดยราคาที่นำมาคำนวณ Indicator จะเป็นแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลาคือ นำราคาปิดภาคเช้ามาคำนวณ และราคาปิดเย็นมาคำนวณ


  • Total Scan คือ เครื่องมือที่ค้นหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคตามที่ต้องการหรือการรวม Top Fundamental และ Advance Technical Scan เข้าด้วยกัน และเพิ่มเติมเงื่อนไขด้าน Vulation บางอย่างเช่น ค่า Beta ของหุ้นเปรียบเทียบกับ Set และ Sector ในรอบระยะเวลา 6,30,90 วัน รวมถึง Price Pattern ของราคาหุ้นแบบง่ายๆทำให้เหมาะกับนักลงทุนที่ให้ความสำคัญทั้งปัจจัยทางพื้นฐานและเทคนิคร่วมกัน


  • Compare Avg Vol Scan คือ เครื่องมือที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Function เดิมใน Template Compare AVG Vol 5 (Hotkey F6) โดยสามารถตั้งเงื่อนไขต่างๆ เพิ่มเติมเข้าไป ซึ่งได้แก่ %Compare, %Buy Volume และ %Chg เพื่อค้นหาหุ้นที่มีความผิดปกติด้านปริมาณ และมีพฤติกรรมการไล่ซื้อราคาฝั่ง Offer เหมาะสำหรับนักเก็งกำไรระยะสั้น



**หมวดที่2** (Ranking & Compare Feature) จะเป็นเครื่องมือประเภทช่วยในเรื่องการเปรียบเทียบและเรียงลำดับ
  • Beta View By Sector คือ การดูค่า Beta ของหุ้นทุกตัวใน Sector ที่นักลงทุนเลือกเพื่อเปรียบเทียบว่าหุ้นที่ใดในกลุ่มที่มีพฤติกรรมความเคลื่อนไหวดีกว่าตัวอื่นๆ ในกลุ่มบ้าง



  • Most Swing คือ การดูราคาหุ้นที่มีการแกว่งตัวของราคาจาก Low ถึง High คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เทียบกับราคาปิดวันก่อนหน้ามากที่สุด โดยแสดงผลทั้งกระดาน Mainboard, Foreign และ MAI


  • Most Active Gainer/Loser คือ เครื่องมือที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Most Active Gainer/Loser โดยจะคัดเฉพาะหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 5 วันมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปมาแสดงผล เนื่องจาก Most Active Gainer/Loser ในแบบปัจจุบันจะแสดงผลหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำขึ้นมาด้วยเช่นกัน ทำให้เครื่องมือไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอในการใช้วิเคราะห์




**หมวดที่3** (Convenient Feature) เครื่องมือประเภทอำนวยความสะดวกในการใช้งาน 
  • Annual Registration Statement / SAA Consensus คือ การเพิ่มความสามารถในการ Link เชื่อมโยงไปยังหน้ารายงานประจำปี หรือบทวิเคราะห์จากสมาคมนักวิเคราะห์ของหุ้นบริษัทที่ท่านสนใจได้จากการคลิกขวาที่ Symbol หุ้นตัวนั้นๆ




  • Smart Browser คือ เครื่องมือที่ไว้เปิดเว็บไซต์ที่ท่านสนใจและ Save เก็บไว้เป็น Template เช่น Save เว็บไซต์ Yahoo Finance ไว้เป็น Template ในโปรแกรม eFin Smart Portal เป็นต้น

  • Link Compare Graph คือ การเพิ่มความสามารถในการ Link เชื่อมโยงไปยังหน้า Compare Graph ระหว่างหุ้นที่ท่านสนใจกับ Sector, Industry และ Set เพื่อดูแนวโน้มการขึ้นลงของราคาว่าเป็นไปตาม Sector,Industry และ Set หรือไม่ และมีสัดส่วนในการเคลื่อนไหวราคาขึ้นลงแรงกว่าหรือไม่

  • Price Advance คือ ตาราง Price ที่นักลงทุนสามารถกำหนด Column ได้เองว่าต้องการดูค่าใดบ้างเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งสามารถ Export ออกมาเป็น File Excel ได้ด้วยสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็บข้อมูล


  • Volume Analysis คือ การเพิ่มส่วนของการดูข้อมูลแบบช่วงระยะเวลาวันที่เราต้องการเข้าไป เช่น ช่วงวันที่ 5 - 6 ก.พ. ว่ามีการซื้อขายที่ราคาเท่าไรบ้าง และแต่ละราคามีปริมาณการซื้อขายเท่าไร และจัดเป็น Buy/Sell Volume เท่าไรบ้าง



**หมวดที่4** (More Database) ฐานข้อมูลที่มากขึ้น 
  • เพิ่มการดูค่า PE, P/BV ในกราฟ ซึ่งทำให้สามารถประยุกต์ใช้กราฟในเรื่องของพื้นฐานเข้ามาด้วย เช่น ราคาหุ้นบางตัวเท่ากับปัจจุบันแต่ค่า PE ปัจจุบันต่ำกว่าในอดีต ทำให้หุ้นตัวนี้ราคาถูกในเชิงพื้นฐาน
  • เพิ่มความสามารถในการดูข้อมูลย้อนหลังจาก Volume Analysis ได้จากเดิมที่ดูได้สูงสุดเพียง30 วันเป็น 90 วัน ซึ่งทำให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ทุนของนักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายในรอบระยะเวลาที่นักลงทุนต้องการเพิ่มการดูค่า PE, P/BV ในกราฟรายวันได้ ซึ่งทำให้สามารถประยุกต์ใช้กราฟในเรื่องของพื้นฐานเข้ามาด้วย เช่น ราคาหุ้นบางตัวเท่ากับปัจจุบันแต่ค่า PE ปัจจุบันต่ำกว่าในอดีต ทำให้หุ้นตัวนี้ราคาถูกในเชิงพื้นฐาน

  • เพิ่ม NVDR สะสมในหุ้นรายตัวเข้าไปในกราฟ เพื่อดูว่าหุ้นตัวที่เราสนใจ NVDR มีการสะสมเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพื่อใช้เป็นตัวแทนต่างชาติได้ทางหนึ่งว่าเข้าสะสมหุ้นตัวนี้หรือไม่
  • เพิ่มข้อมูลต่างๆใน Short Financial เพื่อช่วยในการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานมากขึ้น โดยค่าที่เพิ่มเติมมีดังนี้
                - D/E Ratio สัดส่วนหนี้สินต่อทุน
                - Gearing (%) สัดส่วนหนี้สินที่หักเงินสดแล้วคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของส่วนผู้ถือหุ้น
                - ROL เปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนของหนี้สิน
                - Dividend Coverage สัดส่วนกำไรสุทธิคิดเป็นกี่เท่าของเงินปันผล
                - Cash เงินสด
                - Temp Invest เงินลงทุนระยะสั้น

     ***เนื่องจากปัจจุบันมีเครื่องมือที่เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์มากมาย เราจำเป็นต้องเลือกใช้เฉพาะที่สำคัญๆก็พอ เช่น Most Active Value,Most Active Volume,Top Gainers,Top Losers,Top Swings แค่นี้ก็แถบจะครอบคลุมทุกอย่างสำหรับการจับสัญญาณการซื้อขาย***


****ติดต่อ*******

หลวงพ่อโสธร ทุกรุ่น
กลุ่มปิดWebpage :::  https://www.facebook.com/groups/1440143539623775/


โสธร กรมตำรวจ 80 ปี


เว็บไซต์เพื่อการศึกษา :::   https://www.facebook.com/99sothorn

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

ทฤษฎีป่าไม้

    
     ถ้าการ "เล่นหุ้น" เปรียบเสมือน "ต้นไม้นานาพรรณ" ที่ขึ้นปกคลุมในป่าใหญ่ ล้อมรอบด้วยธรรมชาติ ดิน ฟ้า อากาศ ฯลฯ "ตัวเรา" คงเป็นเพียง "พันธุ์ไม้เล็กๆ" ที่ต้องพึ่งพิงผืนป่าและ "บุคคล หรือ กลุ่มเงินขนาดใหญ่" ก็คงเป็นต้นไม้ใหญ่ ที่นับวันมีแต่จะเติบโต และหยั่งรากลึกขึ้นทุกวัน ดังนั้นต้นไม้เล็กๆ อย่างเราคงหนี้ไม่พ้นที่จะต้องอาศัยประโยชน์จากต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ให้มากที่สุด 
คำถามคือ และจะทำอย่างไรให้เรากลายเป็นต้นไม้ใหญ่ให้ได้ คำตอบก็คือ พัฒนาและก็พัฒนา และไอ้คำว่า"พัฒนา"มันคืออะไร มาดูกัน...
1.พัฒนาตนเอง

  • อารมณ์และจิตใจ ต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ และมันคือยังไง มันก็คือ เราต้องดึงอารมณ์ให้อยู่เหนือเหตุการณ์นั่นให้ได้ สเต็ป คือ ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ๆ เราต้องรู้ว่าจะต้องทำยังไง 1 2 3 4 เพื่อให้เราเอาตัวรอดและกำเงินออกมาจากตลาดนั้นให้ได้ ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก ห้ามเสียดาย เอาอารมณ์ให้เป็นกลางที่สุด ให้ยึดคำว่า "ได้ดีกว่าเสีย" ถ้ามีโอกาสได้มากก็ต้องเอาให้มากที่สุด
  • วินัย กล่าวคือเมื่อถึงจุดที่ควรขายก็ควรต้องขาย คำถามคือจะขายตอนเสี่ยงมาก หรือเสี่ยงน้อย เสี่ยงมาก คือ คุณอยู่ในจุดที่กำลังจะขาดทุนแล้วแต่ไม่ยอมขาย วิธีแก้คือ ให้รีบขายซะ เพราะได้น้อยดีกว่าขาดทุนอยู่แล้วเสี่ยงน้อย คือ คุณมีโอกาสได้กำไรมาก ถ้าคุณเลือกที่จะขายและตัดความเสี่ยงนั่นลงซะ 
   ***เพิ่มเติม หาคนนั่งเล่นกับคุณซะ และพยายามคุยกันและปรึกษากัน (ต้องจริงจังและเชื่อคำแนะนำนั้นด้วย)
2.พัฒนาความรู้ เรามาดูกันว่าควรพัฒนาความรู้ด้านใดบ้าง หลักๆก็คงหนี้ไม่พ้นเรื่องปัจจัยพื้นฐานกับปัจจัยทางเทคนิค แต่เราจะเน้นเฉพาะที่สำคัญเท่านั้น

  • ราคาต่ำสุด-ราคาสูงสุด บอกอะไร ราคาต่ำสุดและราคาสูงสุดบอกถึงช่วงของราคาที่วิ่งระหว่างวัน เราสามารถใช้ประเมินหุ้นได้ว่า..หุ้นตัวนั้นมีช่องของราคาที่วิ่งขึ้นและลงตลอดทั้งวันเท่าไร ซึ่งเราจะนำมาใช้ประเมินช่วงที่จะเล่นหุ้น ยิ่งช่วงมากโอกาสในการทำกำไรก็มากตามไปด้วย
  • จังหวะในการซื้อ อันนี้สำคัญมากเพราะเป็นช่วงชี้เป็นชี้ตายเลย ใครที่เล่นไม่เป็นและยังลุยเข้าไปในจังหวะที่ผิด นั้นก็แสดงว่าท่านคงต้องขาดทุนแน่ๆ เพราะเดี๋ยวนี้หุ้นถ้าจะทำกำไรจริงๆ เขาเล่นกันเป็นวินาที เผลอเล่นแบบไม่มีสติ 2 วิ.ก็ทำให้คุณขาดทุนจนต้องถอนตัวออกจากตลาดก็เป็นได้ เพราะเดี๋ยวนี้สัญญาของหุ้นแต่ละตัวก็ใช่ว่าจะเป็นแบบเดิมเสมอไป ดังนั้นจังหวะการเข้าซื้อถ้าจะเล่นเป็นรอบๆภายในวัน หรือซื้อถือไม่เกิน 3 วัน ต้องวิเคราะห์ลึกลงไปถึงปริมาณการซื้อขายภายในวันด้วยหรือเรียกว่า Bid-Offer ระหว่างวัน คู่กับการดูกราฟหรืเส้น(Trend line)..ต้องเล่นในช่วงขึ้นเท่านั้นและหุ้นต้องขึ้นมากสุดไม่เกิน2-3วันด้วย โดยกลยุทธนี้ต้องใช้ความชำนาญมาก บวกกับการคิดวิเคราะห์ให้ทันกับเวลาและที่สำคัญ คือการตัดสินใจ(ในจุดวิกฤต)ต้องเร็ว และเราจะฝึกวิธีต่างๆเหล่านี้ได้อย่างไร..ไม่ยาก..คุณก็ต้องพยายามดูกราฟให้มากๆ ติดตามหุ้นที่มีการเคลื่อนไหลบ่อยๆ คิดและก็วิเคราะห์ตามวันนึงคุณก็จะคล่องและเก่งเอง
  • ราคาเปิด อันนี้เป็นกลยุทธ์ของคนที่ต้องการจะให้เราเล่นตามเกม โดยวิธีการคือ การทำให้หุ้นเปิดกระโดด(+2+3+4)... จะทำให้หุ้นตัวนันน่าสนใจสำหรับคนทั่วไปได้ง่าย คนก็จะแห่เข้ามาเล่น มันก็ง่ายสำหรับคนที่รู้ก่อน สมมติเราเห็นว่ามันกำลังขึ้นเราก็เขาไปซื้อ แต่ต้องดูด้วยว่ามันจะขึ้นแน่ คือ หุ้นกำลังขึ้นและไม่มีสัญญาขายออกมา โดยดูจากการเทขายและการตั้งBid-Offer ไล่ซื้อ วิธีการ คือเข้าไปดูกราฟหุ้นตัวนี้ให้เร็วที่สุด(กรณีที่เราไม่รู้จักหุ้นตัวนี้เลย)ดูว่ากราฟเป็นทิศทางที่จะขึ้นมัย ถ้าขึ้นให้ดูต่อว่าขึ้นมาแล้วกี่วัน ผมให้เกณฑ์คร่าวๆว่าถ้าขึ้น1 วันมาแล้วอันนี้พอเข้าไปซื้อเล่นได้ แต่ต้องออกให้เร็วที่สุด ห้ามถือข้ามวัน ถ้าจะให้ลึกก็ไปดูว่าระหว่างขึ้นมาแล้วกี่รอบ ถ้า 2 รอบแล้วอย่าเล่นเด็ดขาด ความเสี่ยงสูง สรุปคือ ราคาเปิดก็เป็นสัญญาที่จะเข้ามาช่วยในการเลือก และเข้าซื้อ โดยการเข้าซื้อจะต้องดูกราฟและBid-Offerคู่กันเสมอ
  • Top Gainer, Most Active Volume, Most Active Value เราะใช้ทำอะไร.. เราใช้ติดตามหุ้นที่น่าสนใจ มันช่วยให้เราง่ายขึ้นในการค้นหาหุ้นเด่นและทำให้ทราบว่าหุ้นตัวไหนในตลาดกำลังมีการเคลื่อนไหว
  • กราฟ สืบเนิ่องจากเมื่อเราได้หุ้นที่น่าสนใจแล้ว เราก็จะนำไปหาทิศทางการเคลื่อนไหวในรูปแบบของกราฟ ข้อนี้สุดแท้แต่ว่าจะใช้ทฤษฎีกราฟไหนเข้ามาช่วย แต่ไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีอยากจะให้เน้นไปที่ทิศทาง(trend line)ของหุ้นให้มากๆ ว่าเป็นขาขึ้นหรือลง และถ้าขึ้น ขึ้นมากี่วันแล้ว จะได้หาจังหวะเข้าเล่นได้ถูก และก็มั่นฝึกฝนรูปแแบของกราฟต่างๆให้บ่อย ว่าถ้ากราฟแสดงออกมาอย่างนี้ อย่างนั้นมันบ่งบอกถึงอะไร และมันสะท้อนให้เราต้องทำอย่างไร เพราะกราฟเป็นสะท้อนภาวะของหุ้นที่เราต้องนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับเราให้มากๆ
  • ตลาดต่างประเทศ เน้นตลาดหุ้นต่างประเทศ เพราะตลาดต่างประเทศจะเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ในการกำหนดทิศทางตลาดบ้านเรา หมายเหตุ..เราจะไม่เน้นไปสนใจภาพรวมมาก แต่จะให้มองว่าตลาดหุ้นมักจะเป็นตัวสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศนั้นเสมอๆ
  • ปริมาณการซื้อขาย bid- offer...การเล่นหุ้นสไตล์นี้ Volume เป็นตัวที่สำคัญมาก เพราะมันสะท้อนได้หลายอย่างว่า หุ้นตัวนี้มีใครที่เล่นอยู่บ้าง ซึ่งเราจะนำมาใช้วิเคราะห์ว่าเราควรเล่นหรือไม่ แต่Volume ที่ควรเป็นและเล่นได้อยู่ในช่วงระหว่าง 100,000-1,000,000 ไม่เกินนี้



***สุดท้าย..ใครที่จะเล่นหุ้นสไตล์นี้ต้องยอมรับให้ได้ว่ามันมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงมาก 
ดังนั้นถ้าใครจะเล่นต้องฝึกให้ชำนาญจริงๆให้ได้ก่อน มันอาจต้องใช้เวลาและความอดทนมากแต่ก็คงไม่อยากเกินความสามารถของเรา
*****วิธีการเหล่านี้เป็นแค่หลักการ วิธีการที่จะนำมาจำกัดความเสี่ยงเท่านั้น ไม่แนะนำสำหรับคนที่พึ่งหัดเล่น..ยังมองทิศทางตลาดไม่ได้..และยังไม่มีความรู้เรื่องปัจจัยพื้นฐาน เทคนิคมาก่อน