***ทฤษฎี SWOT คือ ชื่อของทฤษฎีหนึ่งทางด้านการตลาด ที่ใช้สำหรับวิเคราะห์สภาพโดยทั่วไปขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นในด้านจุดแข็ง จุดอ่อน สำหรับการวางแผนการดำเนินงานต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต แต่เราได้หยิบยกในเฉพาะส่วนที่จะมาประยุกต์กับตลาดหุ้นเท่านั้น
โดยสิ่งที่เราจะนำมาพูดถึงจะมีแค่ 2 ส่วนจากทั้งหมดตามหลักการของทฤษฏีSWOT..........เริ่มกันเลย....ส่วนแรก Opportunities (O) คืออะไร? มันคือโอกาสของธุรกิจ โดยมองว่าธุรกิจที่เรากำลังดำเนินการอยู่มีสภาพแวดล้อมหรือปััจจัยใดที่จะเข้ามาช่วยผลักดันธุรกิจเราให้มีโอกาสเสริมสร้างความแข็งแกร่ง(Strengths (S))ได้เพิ่มขึ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อมในระดับที่เรียกว่า "มหาภาค" และถ้าเราจะพูดถึงตลาดหุ้นบ้างล่ะ...โอกาสมันคืออะไร?....โอกาสในตลาดหุ้นมันก็คือ.............ยังบอกไม่ได้.....เพราะอะไร???....เพราะเราต้องรู้จักก่อนว่าอะไรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโอกาสในตลาดจริงๆ(เอาที่ส่วนใหญ่และมีผลกระทบค่อนข้างมากในตลาดเท่านั้นนะครับ)....นั้นคือตลาดในต่างประเทศนั่นเอง ...ตลาด...DOW JONES ที่ใครๆรู้จักกันดีนั่นเอง เพราะอะไรมันถึงมีผลกระทบกับตลาดบ้านเราลองไปศึกษาเพิ่มเติมดูเอาเองน่ะ....แต่ให้แนวคิดไว้ว่า....ประเทศสหรัฐอเมริกา (UNITED STATES OF AMERICA) เป็นประเทศที่มีผลประโยชน์กับทุกประเทศทั่วโลกและมีระบบเศรษฐกิจ การเมืองเชื่อมโยงกับทุกประเทศ...แน่นอนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกประเทศจะต้องไปอิงกับตลาดสหรัฐ....และมันเกี่ยวอย่างไรกับบ้านเรา ต้องบอกไว้ว่านักลงทุนในบ้านเราส่วนใหญ่ซื้อ-ขายหุ้นโดยเชื่อมโยง อิงกับตลาดสหรัฐอยู่แล้ว ถ้ามันลงแน่นอนนักลงทุนก็คงกังวนและต้องสนใจ เพราะอะไร?........เพราะการรับรู้ การคัดกรอง ช่วงเวลา ซึ่งทำให้การรับรู้ข่าวสารต่างกัน และยังมีเครื่องมือที่ใช้ ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในการกำหนดผลแพ้-ชนะ ทั้งหมดกล่าวคือ ถ้าDOW JONES ลงมันส่งผลต่อSET INDEXบ้านเราแน่นอน ถ้าDOW JONESขึ้นนักลงทุนก็คงสบายใจ และเศรษฐกิจมหาภาคก็มีผลต่อเศรษฐกิจจุลภาคเสมอ เหมือนกับที่ว่าหุ้นใหญ่ก็มีผลกับหุ้นเล็กเสมอไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
สรุปคือ......โอกาสในตลาดหุ้นมันมีอยู่เสมอ เช่น การที่DOW JONESขึ้น SET INDEXก็น่าจะมีโอกาสขึ้นหรือช่วยผ่อนคลายสภาวะจิตใจในตลาดได้ไม่มากก็น้อย หุ้นตัวใหญ่จำพวก(SET50 ,SET100) ก็มีโอกาสขึ้น และส่งผลทำให้ตัวเล็ก(1-5-10-15 บาท) อาจจะลง ส่วนทำไมตัวเล็กถึงลงไว้มีโอกาสจะมาบอกกล่าวต่อไป ต่อไปให้โฟกัสไปที่ดัชนี DOW JONES ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ดัชนี้มันลงก็ให้ตั้งสมมติฐานไว้เลยว่า....ตลาดในประเทศต้องลงแน่นอน ดังนั้นหุ้นตัวใหญ่ก็ต้องลง เราก็มีโอกาศที่จะซื้อเก็บไว้ แต่ถ้าตัวเล็กลงล่ะก็มีโอกาสที่เราจะซื้อเช่นกัน ซึ่งจะสรุปใหเดูดังภาพที่1 ดังนั้นโอกาสก็คือ การที่เราจะได้ซื้อหุ้นในราคาที่ถูก และเมื่อใดก็ตามที่หุ้นขนาดใหญ่ลง แน่นอนว่าหุ้นตัวเล็กก็จะผลักตัวเองขึ้น ทำให้เราก็สามารถเลือกเข้าไปซื้อเล่นได้ เพราะหุ้นตัวใหญ่ ตัวเล็กจะสลับกันขึ้นเสมอ(ไม่ทุกตัวน่ะ) แต่ต้องเลือกเล่นให้ถูกจังหวะด้วย จะซื้อตอนลงหรือตอนขึ้นก็ว่าไป
![]() |
ภาพที่1 |
ในทางกลับกัน เมื่อใดที่ตัวใหญ่ขึ้น ตัวเล็กก็จะลง ดังภาพที่2
![]() |
ภาพที่2 |
เพื่อความแม่นยำในการมองหาโอกาสให้เน้นไปที่ดัชนีต่างประเทศให้มากเป็นหลัก เพราะมันจะสะท้อนทิศทางตลาดได้ดี แต่ไม่เน้นสำหรับการใช้เป็นเครื่องมือในการมองตลาดระยะยาวเด็ดขาด และให้เราลองไล่การวิเคราะห์มาเป็นระดับๆ เช่น วิเคราะห์จากภาพใหญ่ไปจนเห็นระดับล่างๆ จะทำให้เรามองภาพตลาดได้ดีกว่าเดิม ตามแนวคิดการวิเคราะห์หุ้นจากปัจจัยพื้นฐานมาเป็นอันดับแรก ต่อไปส่วนที่ 2 คือ Threats (T) อุปสรรคที่อาจเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อราคาหุ้นเราจะขออธิบายแตกต่างจากคนอื่น โดยให้มองว่าการที่ตลาดอยู่ในช่วงที่ลง มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้เราได้พบเจอกับOโอกาสอีกครั้งที่จะได้เลือกเล่นหุ้นที่ดีและราคาถูก เนื่องจากสภาวะแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อกิจการนั่นๆ เช่น DOW JONESลง หุ้นขนาดเล็กลง เป็นต้น
ทั้งหมดหลักการก็คือ เมื่อใดที่ตลาดใหญ่ลง ก็ให้สันนิฐานไว้ว่า หุ้นตัวเล็กก็ต้องขึ้นแน่นอน และเมื่อใดที่ตัวเล็กลง เราก็ยังสามารถจะเข้าไปเล่นตัวใหญ่ต่อได้ สลับการเล่นไปมาได้อย่างนี้ แต่ทั้งหมดต้องดูจังหวะการเล่นด้วย
Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏ เป็นการแค่แนวทางในการศึกษาเรื่องหุ้นเท่านั้นไม่ได้เป็นการชี้นำแต่อย่างใด และไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด